เมื่อเวลา 17.00 น. วันที่ 24 มิ.ย. 2565 ที่หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ในงานเสวนา 90 ปี แห่งการอภิวัฒน์สยาม "อุดมการณ์เพื่อชาติและราษฎรไทย" โดย ชานันท์ ยอดหงษ์ ผู้รับผิดชอบนโยบายอัตลักษณ์และความหลากหลายทางเพศ พรรคเพื่อไทย กล่าวว่า ราษฎรหญิงก่อนปฏิวัติ 2475 นั้น ได้มีคณะมิชชันนารีอเมริกัน ชื่อว่า เพรสไบทีเรียน (Presbyterianism) ที่เผยแพร่ศาสนาไปพร้อมกับก่อตั้งโรงเรียนสตรีที่มีหลักสูตรและระบบสมัยใหม่ ให้อ่านออกเขียนได้เรียนรู้งานเรียนงานครัว เตรียมพร้อมเป็นภรรยาและมีวิชาชีพติดตัว
ในจังหวัดเพชรบุรีตั้งแต่ พ.ศ. 2408 ที่ไม่เพียงสร้างระบบการศึกษาสมัยใหม่สำหรับผู้หญิง พร้อมกับสร้างค่านิยม แม่บ้านแม่เรือนแบบตะวันตก แต่ยังแนะนำให้สยามรู้จักการใช้จักรเย็บผ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขนาดเล็กตั้งแต่ปลายของยุคแรกปฏิวัติอุตสาหกรรม เพื่อเป็นเครื่องมือช่วยภรรยาแทนการเย็บผ้าด้วยมือ บนพื้นฐานสำนึกที่ผู้หญิงต้องรับผิดชอบงานตัดเย็บซ่อมแซมเสื้อผ้าให้สมาชิกในครอบครัว และเป็นการเรียนรู้ระหว่างผู้หญิง เนื่องจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เสื่อมทรามลงเรื่อยๆ จนไม่สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไปท่ามกลางกระแสของราษฎรที่ต้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองและวิพากษ์วิจารณ์การบริหารราชการของชนชั้นสูง ผ่านสิ่งพิมพ์ที่ทำหน้าที่วิเคราะห์ข่าวเหตุบ้านการณ์เมือง แสดงความคิดเห็นเสนอแนะ ชี้จุดบกพร่องการวิพากษ์วิจารณ์ตรงไปตรงมา ประชดประชันเสียดสีการใช้อำนาจโดยรัฐบาลราชสำนัก
ชานันท์ กล่าวว่า ขณะเดียวกันโรงเรียนหญิงล้วนของมิชชันนารีที่เป็นพื้นที่การศึกษาสมัยใหม่ ทำให้หญิงที่อ่านออกเขียนได้ มีวิชาชีพติดตัวหารายได้และมีอำนาจในการบริโภคเอง จับจ่ายใช้สอยด้วยเงินที่ทำงานนอกบ้านเช่น ครู พยาบาล เสมียน ช่างตัดเย็บเสื้อผ้า พวกเธอเลือกซื้ออ่านสิ่งพิมพ์ อ่านในช่วงว่างหรือเลิกงาน นำมาเป็นหัวข้อสนทนาพูดคุยกับเพื่อนในที่ทำงานช่วงเช้าหรือพักเที่ยง
ชานันท์ กล่าวว่า บทบาทประชาชนหญิงในรัฐบาลคณะราษฎรนั้น ด้วยความหวังว่าการมีรัฐธรรมนูญและรัฐสภาที่ทำให้สิทธิพลเมืองทั้งชายหญิงเท่าเทียมกัน จะช่วยยกระดับสถานภาพสตรี หนังสือพิมพ์ หญิงไทย ได้ตั้งข้อสังเกตว่า แม้ผู้หญิงจะมีสิทธิพลเมืองเสมอภาคเท่าผู้ชาย แต่การที่มีผู้หญิงเข้าไปในรัฐสภาเพียงไม่กี่คน อาจจะเป็นเกียรติยศเฉพาะบุคคล แต่ไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนหญิงหมู่มาก หากไม่คำนึงถึงสถานภาพของผู้หญิงที่ยังคงยากลำบากเป็นรองผู้ชายอยู่อีก 7,000,000 คน
ชานันท์ กล่าวว่า เมื่อเกิดปฏิวัติสยามและรัฐธรรมนูญฉบับคณะราษฎรที่ได้ให้สิทธิพลเมืองทั้งชายหญิงเท่าเทียมกันและพร้อมกัน ไม่ได้ให้ผู้ชายมีสิทธิพลเมืองก่อน เนื่องจากราษฎรหญิงมีบทบาททางการเรียกร้องสิทธิทางการเมืองและเคลื่อนไหวผ่านพื้นที่สาธารณะอย่างโดดเด่นภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ขณะเดียวกันเสรีภาพและความเสมอภาคทางการเมืองสำหรับผู้หญิงในประเทศต้นธารประชาธิปไตยก็พัฒนาจนผู้หญิงมีสิทธิเลือกตั้งได้เต็มที่แล้วเช่น สหรัฐอเมริกาในค.ศ. 1920 อังกฤษ ค.ศ. 1928 ก่อนที่สยามเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงการปกครองเพื่อเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตยในค.ศ. 1932
ขณะที่การเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรครั้งแรกของสยามถูกกำหนดระหว่างวันที่1 ต.ค. - 15 พ.ย. พ.ศ. 2476 ซึ่งเป็นการเลือกผู้แทนทางอ้อม ที่ผู้แทนตำบลเป็นผู้เลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระดับจังหวัด ซึ่งผู้แทนตำบลจะได้รับการเลือกตั้งจากสมาชิกในตำบล ผู้สมัครเป็นผู้แทนตำบลจะต้องไปแจ้งที่กรมการอำเภอที่ตำบลของตนเอง โดยกำหนดให้ราษฎร 100,000 คนต่อผู้แทนราษฎร 1 คน ต่อมาแก้ไขเป็น 200,000 ต่อ 1 ผู้แทนตำบล และจะมีวาระ 4 ปี มีหน้าที่เลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและเป็นผู้แทนหรือหัวหน้าของราษฎรในตำบล ขณะที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้แทนราษฎรให้ไปสมัครที่ศาลากลางจังหวัด ซึ่งได้กำหนดคุณสมบัติว่าจะต้องอ่านออกเขียนภาษาไทยได้ ซึ่งก็มีผู้หญิงสมัครรับเลือกตั้งทั้งผู้แทนตำบลและผู้แทนราษฎร
ชานันท์ เสริมว่า แม้ว่าจะไม่มีผู้หญิงได้เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่พวกเธอบางคนได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทนตำบล แต่ผู้หญิงก็น้อยมากเมื่อเทียบกับผู้ชาย ผู้แทนตำบลส่วนใหญ่เป็นประชาชนชายและข้าราชการชายชั้นผู้น้อย เช่นบรรดาศักดิ์ขุนนาง