น.ส.ชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยหลังเข้าพบนายฟรานซิส เกอร์รี่ ผู้อำนวยการใหญ่องค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก (World Intellectual Property Organization : WIPO) เพื่อยื่นภาคยานุวัตรสารเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคชเพื่ออำนวยความสะดวกในการเข้าถึงงานที่มีการโฆษณาแล้วสำหรับคนตาบอด คนพิการทางการเห็น และคนพิการทางสื่อสิ่งพิมพ์ ซึ่งจะมีผลให้ประเทศไทยเป็นสมาชิกลำดับที่ 49 ต่อจากฟิลิปปินส์
พร้อมกับระบุว่า จากข้อมูลกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ชี้ให้เห็นว่า ปัจจุบันคนพิการที่มีความบกพร่องทางการเห็นของไทยมีประมาณ 204,000 คน คิดเป็นร้อยละ 10 ของคนพิการทั่วประเทศ และจะมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตามอายุของประชากรสูงวัยที่เพิ่มขึ้น ซึ่งการเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคชของไทยจะเป็นประโยชน์สำหรับคนพิการที่ไม่สามารถเข้าถึงงานลิขสิทธิ์ได้ อันเนื่องมาจากความบกพร่องทางการเห็น โดยให้องค์กรที่ได้รับอนุญาตสามารถนำงานลิขสิทธิ์ในรูปสื่อสิ่งพิมพ์ของประเทศไทยและสมาชิกสนธิสัญญามาร์ราเคชกว่า 48 ประเทศ มาทำซ้ำ ดัดแปลง เช่น นำมาทำอักษรเบรลล์ หรือหนังสือเสียง เป็นต้น และเผยแพร่ให้แก่คนพิการได้โดยไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ อันเป็นการสร้างโอกาสและความเท่าเทียมทางสังคมในการเข้าถึงข้อมูลความรู้ที่เป็นประโยชน์จากทั่วโลก
อีกทั้งยังช่วยส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการไทยให้ได้รับความเสมอภาคในการศึกษาและการเรียนรู้ที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน นอกจากนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการพาณิชย์ได้หารือกับผู้อำนวยการใหญ่ WIPO เกี่ยวกับนโยบายการขับเคลื่อนประเทศไทยสู่ไทยแลนด์ 4.0 ที่เน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วยนวัตกรรม
โดยอาศัยทรัพย์สินทางปัญญาเป็นกลไกสำคัญ พร้อมหารือแนวโน้มในการนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) มาใช้ในการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญา และในโอกาสนี้ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ได้ขอบคุณผู้อำนวยการใหญ่ WIPO ที่ให้ความช่วยเหลือกระทรวงพาณิชย์ในการเตรียมการเพื่อเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคช รวมถึงความตกลงระหว่างประเทศด้านทรัพย์สินทางปัญญาฉบับต่างๆ มาโดยตลอด และจะสานต่อความร่วมมือด้านทรัพย์สินทางปัญญากับ WIPO ในการพัฒนาระบบทรัพย์สินทางปัญญาของไทยให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป
สำหรับการยื่นภาคยานุวัติสารเข้าเป็นภาคีสนธิสัญญามาร์ราเคชในครั้งนี้ จะมีผลผูกพันประเทศไทยเมื่อพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่ยื่นภาคยานุวัติสาร คือ ในวันที่ 28 เมษายน 2562 โดยประเทศที่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาดังกล่าวแล้ว เช่น อินเดีย ญี่ปุ่น และสหภาพยุโรป เป็นต้น
สำหรับประเทศสมาชิกอาเซียนที่เข้าเป็นภาคีสนธิสัญญาฯ แล้ว ได้แก่ สิงคโปร์ และ ฟิลิปปินส์