ซึ่งนักการเมืองก๊กก๊วนต่างๆ ในพรรคที่ถูกแช่แข็งมานานหลายปี ก็ถึงเวลากลับคืนสู่ถนนการเมืองช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้เงื่อนไขของบ้านเมืองปีที่แล้ว ที่มีความชัดเจนผ่านเหตุการณ์ต่างๆ
อีกทั้งเป็นที่รู้กันว่างานนี้คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อยู่ยาว ทุ่มหมดหน้าตัก เพื่อไม่ให้เสียของเช่นที่ผ่านมา โดยมีเป้าหมายร่วมกันหนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อดีตหัวหน้า คสช. ที่ขึ้นเป็นนายกฯ เอง กลับสู่ตำแหน่ง นายกฯ อีกครั้ง ผ่านการเลือกตั้ง
ซุ่มทำพรรคกันมานานโดยมี ‘สี่ยอดกุมาร’ ซึ่งมี ‘สมคิด จาตุศรีพิทักษ์’รองนายกฯ อยู่เบื้องหลังอีกขั้นหนึ่ง จึงเกือบมีชื่อเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ พปชร.’ แต่สุดท้ายได้ตัดออกเหลือแค่ พล.อ.ประยุทธ์ โดยทั้ง ‘สมคิด’ และ ‘อุตตม สาวนายน’ ได้ถอนชื่อออกไป และ ‘สี่ยอดกุมาร’ รับบทเป็น ‘ทนายหน้าหอ’ เปิดหน้าตั้งพรรคและเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็น ‘แคนดิเดตนายกฯ’
ทุกคนต่างทราบดี ‘เจ้าของพรรค’ ตัวจริงเสียงจริงไม่ใช่ใคร แต่เป็นทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ผ่านปรากฏการณ์ ‘พลังดูดทอร์นาโด’
(พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชา ส.ว. และอดีตสมาชิก สนช.)
ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ก็มาเปิดหน้าแสดงตนเป็น ‘เจ้าของพรรค’ หลังรับตำแหน่ง ปธ.กรรมการยุทธศาสตร์พรรคนั่นเอง ท่าทีที่ ‘สี่ยอดกุมาร’ ที่มีต่อ พล.อ.ประวิตร ก็เป็นไปด้วยความนอบน้อม ในฐานะที่ พล.อ.ประวิตร อาวุโสกว่า และบารมีที่มีอยู่ ซึ่งก่อนที่ พล.อ.ประวิตร จะเข้ามาคุมพรรคแบบเปิดหน้ามีตำแหน่ง ก็ถูกเรียกว่า ‘ผู้มีบารมีนอกพรรค’ แล้ว
สำหรับ ‘ปฏิบัติการทวงคืนพรรค’ ของ พล.อ.ประวิตร ครั้งนี้เกิดขึ้นชนิดไฟแลบ ความเคลื่อนไหวในพรรคพลังประชารัฐมาตลอดทั้งวัน เปรียบเป็น ‘อาฟเตอร์ช็อก’ หลังแผ่นดินไหวข่าวถูกปล่อยตั้งแต่ช่วงดึก 26 เม.ย.ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ‘โควิดซา’ ก็ได้เวลา ‘เสร็จนาฆ่าโคถึก’ กันเลยทีเดียว
โดยข่าวที่ออกมานั้น พล.อ.ประวิตร ได้พูดคุยขอให้ ‘อุตตม’ ลาออกจาก หัวหน้าพรรค
แต่สุดท้ายไม่เป็นผล จึงให้ ‘เสธ.อ.’ ไปพูดคุยแทน ซึ่งก็ไม่ใช่ใครคือ ‘เสธ.อ้น’ พล.อ.กนิษฐ์ ชาญปรีชญา นายทหารนอกราชการ ที่ขณะนี้ดำรงตำแหน่งเป็น ส.ว. โดย ‘เสธ.อ้น’ เป็น ตท.19 เติบโตมาจากสายทหารเสือฯ ร.21 รอ. มาก่อน อีกทั้งมีความใกล้ชิดกับทั้ง ‘2ป.' 'ประยุทธ์-ประวิตร’ จึงไม่แปลกที่ ‘เสธ.อ้น’ จะได้รับมอบภารกิจนี้
อย่างไรก็ตามว่ากันว่า ‘เสธ.อ้น’ แม้จะไม่ได้อยู่ในพรรคพลังประชารัฐ แต่ก็เป็นอีก ‘คีย์แมนสำคัญ’ ของ ‘2ป.’ ในการทำพรรคพลังประชารัฐ
โดย ‘เสธ.อ้น’ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับ ‘20 ส.ส.ภาคกลาง’ จึงไม่แปลกที่ เมื่อเกิดเรื่องขึ้นมา ยังไม่ทันข้ามวัน เกิดปรากฏการณ์ ‘ไลน์หลุด’ ของกลุ่ม 20 ส.ส.ภาคกลาง ที่มีแกนนำในกรุ๊ปอย่าง ‘เสี่ยเฮ้ง-สุชาติ ชมกลิ่น’ ประธาน ส.ส.พรรค ที่เคลื่อนไหวถึงการทำหน้าที่ของ ‘สี่ยอดกุมาร’ โดยเฉพาะ ‘อุตตม สาวนายน’หน.พรรค และ ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’เลขาธิการพรรค ที่ดูแล ส.ส. ไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะช่วงโควิดที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ชื่อ ‘เสธ.อ้น’ ที่ผ่านมาไม่เป็นข่าวมากนัก แต่ก็พอมีความเคลื่อนไหวปรากฏบนหน้าสื่อ ก่อนจะมีการเลือกตำแหน่งในสภา โดยเฉพาะสายสัมพันธ์กับ ‘บ้านใหญ่โคราช-วิรัช รัตนเศรษฐ’ ร่วมกับ ‘สุชาติ ตันเจริญ’ในขณะนั้น จัดเลี้ยงวันเกิดชื่นมื่นให้ ‘เสธ.อ้น’ เมื่อปีที่แล้ว จึงไม่แปลกที่
ชื่อ ‘วิรัช’ จะถูกโยงเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในพรรคขณะนี้ด้วย โดยมีการมองว่าเป็น ‘อีกก๊ก’ ด้วย นั่นก็คือ ‘ก๊กสุชาติ (ชมกลิ่น) - วิรัช - เสธ.อ้น’ นั่นเอง
งานนี้ ‘รองนายกฯสมคิด’ ไม่มีปล่อยแน่นอน โดยได้ออกมาซัดไปยัง ‘คลื่นใต้น้ำ’ เหล่านี้เต็มๆ ว่า “นาทีนี้ต้องช่วยกันทำงานให้ประเทศรอดพ้นไปให้ได้ ไม่ใช่เวลามาพูดถึงอำนาจ จะเอาอำนาจไปทำอะไร ไม่เข้าใจ แต่ผมว่าข่าวนี้ไม่น่าจะเป็นความจริง นาทีนี้ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกันทำงาน หรือว่าว่างกันมากเกินไปรึเปล่า คนที่ทำงานก็ทำงานกันหนัก มาช่วยๆ กันทำงานดีกว่า แต่ผมไม่รู้เรื่องนะ เพราะไม่ได้อยู่ในพรรค”
พร้อมกับ ‘รับประกัน’ ผลงานของ ‘อุตตม สาวนายน’ รมว.คลัง ‘สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์’ รมว.พลังงาน ‘สุวิทย์ เมษินทรีย์’รมว.อุดมศึกษาฯ และ ‘กอบศักดิ์ ภูตระกูล’รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง และอีกหลายคนล้วนทำงานดีทั้งนั้น อยากให้คนดีๆ ได้ทำงาน และคนพวกนี้ทำงานไม่ใช่เอาอำนาจ งานต้องเป็นงาน
แต่งานนี้ ‘บิ๊กป้อม’ ก็อ่วมไม่น้อย ที่กำลังถูกผลักให้ไปเล่นบท ‘ตัวร้าย’ ในพล็อตเรื่องที่เกิดขึ้น โดย พล.อ.ประวิตร ก็ทั้งแทงกั๊กและไม่ได้ให้หลักประกันเก้าอี้หัวหน้าพรรคกับ ‘อุตตม’ โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวที่ไปพูดคุยกับ ‘อุตตม’ ว่า “ที่ไหน ไม่มี ไม่ได้คุย จะคุยอะไร จะปรับได้อย่างไร จะต้องประชุมพรรคทั้งหมด”
เมื่อสื่อถามย้ำว่าไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ‘อุตตม’ ยังคงเป็น หน.พรรค ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า “ก็ไม่รู้ แล้วแต่ที่ประชุมพรรค ที่ประชุมพรรคว่าอย่างไรก็ว่ากัน”
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ งานนี้ตีบท ‘พระเอก’ ไม่ขอพูดเรื่องที่เกิดขึ้น เพราะเป็นเรื่อง ‘การเมือง’ โดยขอตอบแต่เรื่องการ ‘การทำงาน’ ในการฟื้นฟูและคืนความสุขให้ประชาชนในสถานการณ์ขณะนี้
แต่ก็มีการตั้งคำถามว่างานนี้ พล.อ.ประยุทธ์ รู้เห็นสิ่งที่ พล.อ.ประวิตร จะปฏิบัติการหรือไม่ เพราะทั้ง 2ป. มีสายสัมพันธ์มากว่า 40 ปี ทว่าอีกมุมก็ทำการแบ่งก๊กเป็น 2 ฝ่าย ระหว่างฝ่าย พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.ประวิตร ที่เพิ่มความซับซ้อนให้สิ่งที่เกิดขึ้นไปอีก ซึ่งที่ผ่านมาก็มีเรื่องเสี้ยมทั้ง ‘2ป.’ มาตลอด แต่ก็ทำลายสัมพันธ์ไม่ได้ ซึ่งทั้ง 2ป. เรียกได้ว่า แค่มองตาก็รู้ใจ หรือ มวยทันกัน
จนล่าสุด พล.อ.ประวิตร ระบุสั้นๆ “ไม่มีอะไร จบแล้วๆ”
เมื่อสื่อถามย้ำว่าจะมีการเปลี่ยนตำแหน่ง หน.พรรค กับ เลขาธิการพรรคหรือไม่ โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวสั้นๆว่า “ไม่มี ไม่มี”
แต่ศึกครั้งนี้เป็นเพียง ‘คลื่นหลังพายุ’ ที่ยังคงความคุกรุ่นอยู่ภายใน เป็นเพียงการ ‘สงบศึกชั่วคราว’ ที่แต่ละก๊กในพรรคต่าง รวม ‘ขุมกำลัง’ แต่ละก๊กต่อรองงัดข้อกันได้อยู่ และรอให้จบโควิดไปก่อน โดยแรงเสียดทานทั้งหมดนี้ตกไปที่ พล.อ.ประยุทธ์ เต็มๆ
ซึ่งพล็อตเรื่องต่อจากนี้ไปคือการปรับทัพพรรคพลังประชารัฐที่จะลากยาวไปถึงการปรับ ครม. ด้วย โดยเฉพาะ ครม.สายเศรษฐกิจ ที่ พล.อ.ประยุทธ์ หวังยกเครื่องใหม่ มาตั้งแต่ก่อนโควิดแล้ว รวมทั้งการเช็กบิลกันเองของพรรคร่วมรัฐบาล โดยเฉพาะศึก 3 ก๊ก ระหว่าง ‘พลังประชารัฐ-ภูมิใจไทย-ประชาธิปัตย์’ ที่ยังไม่จบง่ายๆ
แน่นอน กลายเป็น ‘ศึกหลายชั้น-หลากก๊ก’ ที่ทหารอย่าง ‘2ป.’ ต้องกรำศึกรวมและศึกแยกไปอีกนาน
อย่าลืมว่า ‘นักการเมือง’ ไม่ใช่กำลังพล จะมาสั่งซ้ายหันขวาหันได้ตลอด หรือปกครองแบบ ‘พี่น้อง-เพื่อนฝูง’ มีสังคมเฉพาะตัวของทหาร แต่ ‘นักการเมือง’ ยืนอยู่บน ‘การต่อรอง’ ทั้งอำนาจและประโยชน์ที่ได้ รวมทั้งเล่ห์กลชนิดเขี้ยวลากดิน ซึ่งทั้ง ‘2ป.’ ก็ไปอยู่ในเกมนี้แล้ว
การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูที่ถาวร !
ข่าวที่เกี่ยวข้อง