เดวิด คาเมเนตสกี ประธานบริหารบริษัท JAB Investors ผู้รับผิดชอบดูแลกิจการในเครือตระกูลรีมันน์ที่ร่ำรวยติดอันดับ 2 ของเยอรมนี เปิดเผยว่า 'ตระกูลรีมันน์' จะบริจาคเงินนับล้านยูโร เพื่อชดเชยให้แก่พลเรือนชาวรัสเซียและเชลยสงครามชาวฝรั่งเศส ซึ่งเคยถูกบังคับใช้แรงงานในบริษัทสารเคมี Benckiser กิจการเก่าแก่ของตระกูลรีมันน์ ซึ่งก่อตั้งและบริหารงานโดย 'อัลเบิร์ต รีมันน์ ซีเนียร์' และ 'อัลเบิร์ต รีมันน์ จูเนียร์' ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร Benckiser ทั้ง 2 คนเป็นพ่อลูกกัน แต่ทายาทของตระกูลรีมันน์ในปัจจุบันได้ศึกษาเอกสารทางประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ พบหลักฐานบ่งชี้ว่า บรรพบุรุษทั้งสองคนเคยเป็นสมาชิกพรรคนาซีเยอรมนี ซึ่งเป็นผู้ก่อเหตุฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวและชนกลุ่มน้อยต่างๆ หลายล้านคนในยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 การได้รับทราบข้อมูลเรื่องนี้ ทำให้คนในตระกูลรีมันน์รู้สึกเหมือน "ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาเผชิญความจริง"
แม้กิจการของตระกูลรีมันน์ในอดีตจะไม่เกี่ยวข้องกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ที่กระทำโดยนาซีเยอรมัน แต่พบว่ามีการบังคับใช้แรงงานพลเรือนและเชลยสงครามที่ถูกจับกุมโดยกองทัพนาซี เพื่อทำงานให้กับบริษัท Benckiser
ทายาทของตระกูลรีมันน์เป็นผู้พบเอกสารที่เกี่ยวข้องกับกรณีดังกล่าว จึงได้ว่าจ้างนักวิชาการด้านประวัติศาสตร์เศรษฐกิจจากมหาวิทยาลัยมิวนิกให้รวบรวมข้อมูลและตรวจสอบข้อเท็จจริงเมื่อปี 2014 และได้รับรายงานยืนยันอย่างเป็นทางการในเดือน มี.ค.2019 ที่ผ่านมา
หลังจากรับทราบข้อเท็จจริงในอดีต ทายาทของตระกูลรีมันน์ในปัจจุบันจึงตัดสินใจบริจาคเงิน 5 ล้านยูโร (ประมาณ 165 ล้านบาท) ให้แก่องค์กรไม่แสวงผลกำไรที่ช่วยเหลือเยียวยาและดูแลผู้ที่เคยเป็นเหยื่อนาซีเยอรมนีในอดีต ส่วนอีก 5 ล้านยูโรจะใช้ในการตามหาตัวผู้ที่เคยถูกบังคับใช้แรงงานในบริษัท Benckiser เมื่อครั้งอดีต และอีก 25 ล้านยูโรจะนำไปสนับสนุนการเรียนรู้และรณรงค์ส่งเสริมแนวคิดประชาธิปไตย เพื่อต่อต้านแนวคิดชาตินิยมสุดโต่งที่กลับมาเป็นที่นิยมใหม่ในปัจจุบัน เพราะแนวคิดชาตินิยมเป็นปัจจัยหนึ่งที่นาซีเยอรมนีในอดีตนำมาใช้กล่าวอ้างปลุกระดมจนนำไปสู่การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์
นิตยสารไทม์รายงานว่า เหยื่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนของนาซีเยอรมนี หรืออดีตผู้ถูกขังในค่ายกักกันแถบยุโรปที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน มีจำนวนประมาณ 10,500 คน ใน 34 ประเทศทั่วโลก อายุเฉลี่ยราว 83 ปี ส่วนผู้ที่เคยถูกบังคับใช้แรงงานในกิจการของตระกูลรีมันน์ มีอยู่ประมาณ 838 คน ซึ่งจะต้องติดตามหาตัวกันต่อไป เพื่อนำไปสู่การชดเชยเยียวยา
ทั้งนี้ หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด กองทัพนาซีเยอรมนีเสื่อมสลาย สองพ่อลูก 'อัลเบิร์ต รีมันน์' ซีเนียร์และจูเนียร์ ถูกฝรั่งเศสคว่ำบาตรกิจการต่างๆ ก่อนที่สหรัฐอเมริกาจะยกเลิกคำตัดสินคว่ำบาตรในเวลาต่อมา ทำให้กิจการของตระกูลรีมันน์ยังดำเนินต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งยังมีรายได้และทรัพย์สินจำนวนมหาศาล เข้าขั้นตระกูลมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของเยอรมนี
กิจการที่ตระกูลรีมันน์เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่มีหลายแบรนด์ แต่สินค้าที่รู้จักแพร่หลายไปทั่วโลกในปัจจุบัน ได้แก่ ร้านโดนัท 'คริสปี้ครีม' ร้านอาหารพร้อมรับประทาน Pret a Manger และบริษัทเครื่องดื่ม Dr.Pepper
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: