พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) กล่าวในรายการ “ศาสตร์พระราชา สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน” เมื่อวันที่ 21 ธ.ค. ตอนหนึ่งว่า ในช่วง 30 – 40 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รับการยอมรับว่า เป็นหนึ่งในประเทศที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ในเรื่องของการพัฒนา เราสามารถก้าวข้ามประเทศรายได้ต่ำ ไปสู่การเป็นประเทศรายได้ปานกลาง ตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 3 เป็นต้นมา ทุกรัฐบาลได้มุ่งเน้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ ด้วยนโยบายการกระจายความเจริญไปสู่ชนบท การเพิ่มผลผลิตทางการเกษตร การพัฒนาอุตสาหกรรม การสร้างมูลค่าเพิ่ม และการบริหารจัดการดูแลสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน ทำให้เศรษฐกิจของไทยเติบโตดีขึ้นมาเป็นลำดับ ช่วยยกระดับรายได้เฉลี่ยของประชาชน และลดสัดส่วนคนยากจนลงอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม ผลดีจากการพัฒนายังไม่กระจายตัวไปยังประชาชนอย่างทั่วถึง ยังเห็นว่ามีการกระจุกตัวของการเติบโตในบางพื้นที่ หรือในบางกลุ่มเท่านั้น ส่งผลให้เกิดความเหลื่อมล้ำในด้านต่างๆ ทั้งรายได้ และความมั่งคั่ง ที่ไม่เท่าเทียม รวมถึงการเข้าถึงปัจจัย พื้นฐานในการดำรงชีพ เช่น การศึกษา สาธารณสุข สวัสดิการ และโครงสร้างพื้นฐาน ที่ยังเป็นปัญหาในบางพื้นที่ ซึ่งปัญหาความเหลื่อมล้ำนี้ยังเห็นผลต่อเนื่องมาจนปัจจุบัน ทั้งๆ ที่เราได้เห็นเศรษฐกิจเติบโตดีขึ้น แต่ประชาชนกลุ่มใหญ่ยังรู้สึกว่าเศรษฐกิจอ่อนแรง เพราะมีรายได้ที่ลดลง
พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า รัฐบาลไม่ได้นิ่งนอนใจในเรื่องนี้ และพยายามแก้ปัญหามาโดยลำดับ โดยมองว่าการลดความเหลื่อมล้ำต้องทำในทุกมิติ ต้องบูรณาการเพื่อแก้ปัญหา และต้องลงไปทำที่ต้นตอของสาเหตุ เพื่อให้เกิดผลที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน โดยได้กำหนดไว้เป็น 1 ใน 6 ด้านของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ด้านการสร้างโอกาสและความเสมอภาคทางสังคมรวมทั้ง กำหนดไว้ในแผนการปฏิรูปประเทศด้านต่างๆ ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามกรอบหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง สิ่งที่รัฐบาลนี้ได้ดำเนินการไปแล้ว เพื่อจะแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ โดยขอสรุปเป็นกลุ่มมาตรการ ใน 2 รูปแบบ ก็คือ เป็นการจัดสรรสวัสดิการเพื่อประชาชน ให้กลุ่มต่างๆ เช่น เด็ก ผู้สูงอายุ คนพิการ และการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประชาชน เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงปัจจัยขั้นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ซึ่ง สวัสดิการเหล่านี้ของรัฐ ในปัจจุบันมีรวมกันมากกว่า 40 โครงการ
ทั้งนี้ สิ่งที่ต้องคำนึงถึง ก็คือ สวัสดิการที่ได้กล่าวถึงเหล่านี้ ใช้งบประมาณรวมกันปีละ 5 แสนกว่าล้านบาท ซึ่งภาครัฐจะต้องใช้เงินดังกล่าวให้เกิดประโยชน์สูงสุด และมีประสิทธิภาพที่สุด ตามหลักธรรมาภิบาล และการรักษาวินัยการเงิน การคลัง ซึ่งรัฐบาลนี้ได้จัดทำโครงการที่ชื่อว่าสร้างสุขทุกช่วงวัย ให้เป็นสวัสดิการแห่งรัฐที่จะช่วยยกระดับการให้บริการสวัสดิการกับพี่น้องประชาชนให้ทันสมัยขึ้น และสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สำคัญของการปฏิรูประบบราชการไทย โดยนำระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้บริหารจัดการฐานข้อมูลสวัสดิการแห่งรัฐอย่างเป็นระบบ
ซึ่งกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ รวม 11 หน่วยงาน ร่วมลงนามในบันทึกความร่วมมือด้านเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการจัดทำข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบาย มาตรการต่างๆ รวมถึงติดตามประเมินผลการจัดสวัสดิการภาครัฐ และช่วยป้องกันปัญหาการทุจริตสวัสดิการ ช่วยให้การใช้สวัสดิการภาครัฐโปร่งใสมากยิ่งขึ้น ซึ่งต่อไป กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง จะได้พัฒนาระบบออนไลน์ให้พี่น้องประชาชนสามารถตรวจสอบได้ว่า เราได้รับสวัสดิการกี่อย่าง เราได้รับสวัสดิการครบถ้วน และมีการสวมสิทธิของเราไปแล้วหรือไม่
นอกจากนี้ พล.อ.ประยุทธ์ระบุด้วยว่า คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการจัดตั้งสำนักงานบูรณาการลดความเหลื่อมล้ำและแก้ไขปัญหาความยากจนเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ทำหน้าที่ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงศึกษาและวิจัย เรื่องปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ พัฒนาและติดตามเครื่องชี้วัด จัดทำฐานข้อมูล Big data เกี่ยวกับความยากจนและความเหลื่อมล้ำให้บูรณาการกันทั้งหมด ทั้งช่วยสำนักงบประมาณในการพิจารณาจัดสรรงบประมาณด้านความยากจนและความเหลื่อมล้ำ ซึ่งในปีล่าสุด นอกจากงบสวัสดิการ 5 แสนกว่าล้านบาท ยังมีงบประมาณประจำเพื่อแก้ไขเรื่องความเหลื่อมล้ำและความยากจนผ่านกระทรวงต่างๆ อีก 3 แสนล้านบาท รวมเป็นเงินถึง 8 แสนล้านบาท ซึ่งเราต้องใช้งบเหล่านี้ ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และเป็นไปตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี รวมถึงแผนปฏิรูปประเทศด้วย