ไม่พบผลการค้นหา
‘เกศปรียา’ ชี้ ประเทศไทยเสียเวลา 7 ปี เพื่อพิสูจน์ว่า 'ทหารเกษียณ' บริหารประเทศสู้ 'ทักษิณ' ไม่ได้เลย

เกศปรียา แก้วแสนเมือง รองเลขาธิการพรรคเพื่อชาติ เผยว่า ตนไม่เคยลืมในวลี "อย่าคิดว่าทักษิณ จะเก่งอยู่คนเดียว ลองให้ทหารได้บริหารประเทศชาติดูบ้าง" เมื่อ 7 ปีที่แล้ว เพราะตนมองเหมือนคนรุ่นใหม่ทุกคนในเวลานั้นว่าม็อบผู้สนับสนุนทหารเข้ามายึดอำนาจ และทหารแก่หรือทหารเกษียณเป็นผู้ที่วิสัยทัศน์ล้าหลังเกินจะมาบริหารประเทศในเวลาที่ไม่ใช่ยุคของคนวัยเบบี้บลูม ที่ตามไม่ทันการเปลี่ยนแปลงของโลก มาบริหารประเทศแบบเชื่องช้าเอาประเทศเป็นที่ฝึกงานคนสูงอายุให้ลองผิดลองถูกบริหารแบบรัฐราชการ 7 ปี ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า รัฐบาลทหารเกษียณและผู้สนับสนุน คือผู้ขโมยอนาคตประเทศและจับประเทศเป็นตัวประกันจากความต้องการอยู่ในอำนาจของตนเอง

เกศปรียา กล่าวต่อว่า ตนเคยนำเสนอมาหลายปีที่แล้วก่อนการเลือกตั้งรัฐบาลจากรัฐธรรมนูญสืบทอดอำนาจหลายครั้งว่ารัฐบาลทหารของประยุทธ์ทำเศรษฐกิจฐานรากพัง เพิ่มปริมาณคนจนมากกว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกครั้งก่อนๆ ซึ่งผู้สนับสนุนรัฐบาลในเวลานั้นยังนิ่งเฉย แต่เมื่อมีวิกฤติโรคระบาดไวรัสโคโรน่า ทุกคนได้ประจักษ์ในความสามารถรัฐบาลประยุทธ์ว่าจริงอย่างที่คนรุ่นใหม่ปรามาสไว้ว่า ‘รัฐบาลเผด็จการทหารมาขโมยเวลาและอนาคตของประเทศไทยไป’

ความผิดพลาดจากการตัดสินใจแก้ปัญหาโดยมีพื้นฐานการตัดสินใจหลักยึดโยงกับการรักษาอำนาจตนเอง การตัดสินใจแบบนี้ในสถานการณ์ปกติคนที่ไม่ใช่กลุ่มได้รับผลกระทบอาจไม่รู้สึก แต่ในสถานการณ์วิกฤติที่เกี่ยวข้องกับความเป็นความตายและชีวิต ทุกคนรับรู้ได้ว่าการตัดสินใจล็อกดาวน์ประเทศระยะยาวครั้งแรกเพื่อหนีม็อบเยาวชน ทำคนฐานรากตายทั้งเป็นเพราะไร้อาชีพและรายได้ ทำลายอนาคตเยาวชนรุ่นนี้ที่พลาดโอกาสทางการศึกษาและอาชีพ คนจบการศึกษา 2-3 ปีที่ผ่านมาแทบไม่มีงานทำ

เกศปรียา แสดงความคิดเห็นต่อว่า การตัดสินใจบริหารจัดการวัคซีนผิดพลาดเพราะความด้อยวิสัยทัศน์และตัดสินใจบนผลประโยชน์แห่งอำนาจของรัฐบาล ทำให้ประชาชนไทยเสียชีวิตถึง 10,000 กว่าราย สถิติถึงวันที่ 31 สิงหาคม 2564 จนมาถึงการตัดสินใจล็อกดาวน์รอบล่าสุดนี้ เป็นการตัดสินใจผิดพลาดอย่างมหันต์ ทั้งที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตรออกมาเตือนให้คำแนะนำตั้งแต่ต้นปีแล้ว ว่าการล็อกดาวน์จะทำให้เศรษฐกิจพัง รวมทั้งไม่สามารถยุติการระบาดของไวรัสโคโรน่าได้ ต้องบริหารจัดการวัคซีนให้เกิดภูมิคุ้มกันหมู่อย่างรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการเดินหน้าเศรษฐกิจ แต่รัฐบาลนี้ไม่นำพา เพราะเวลานั้นม็อบเยาวชนเริ่มออกมาเรียกหาวัคซีน การล็อกดาวน์รอบล่าสุดจึงเกิดขึ้นมาซ้ำเติมให้ประชาชนฐานราก ประชาชนระดับกลางล่างล้มระเนระนาด ประชาชนระดับกลางบนก็เริ่มเดือดร้อน ยอดผู้ติดเชื้อที่เข้าสู่ระบบสาธารณสุขพุ่งไปกว่าหนึ่งล้านราย ยอดผู้ติดเชื้อจริงที่ภาคีสาธารณสุขประเมินเกือบ 50% ของประชากร ซึ่งสรุปได้ว่าการล็อกดาวน์ไม่เกิดประโยชน์กับการควบคุมโรคระบาด แต่เกิดผลร้ายต่อระบบเศรษฐกิจไทย 

แม้แต่ฝ่ายรัฐบาลเองช่วงนี้ก็รับรู้ถึงความผิดพลาดในการตัดสินใจล็อกดาวน์ ถึงได้ออกมาค่อยๆ ประกาศทยอยปลดล็อคแบบลักลั่น แต่ตนอยากถามแทนประชาชนว่า ความรับผิดชอบในการบริหารราชการผิดพลาดร้ายแรงสำหรับผู้ที่ชอบคุยโม้ว่าเป็นชายชาติทหารมีไหม การขอโทษประชาชนไทยที่ขโมยโอกาสไป 7 ปี เคยมีจิตสำนึกบ้างหรือเปล่า แล้วที่วลีที่ว่า “อย่าคิดว่าทักษิณ จะเก่งอยู่คนเดียว ลองให้ทหารได้บริหารประเทศชาติดูบ้าง" จำได้ไหม ขอโทษประชาชนและอดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร หรือยัง 

เกศปรียา ระบุต่อว่า รัฐบาลนี้ผิดพลาดบริหารประเทศจนประเทศไทยคือผู้ป่วยหนักในอาเซียน แค่การบริหารจัดการวัคซีนเรื่องเดียวก็แพ้ประเทศเพื่อนบ้าน อย่างลาวและกัมพูชา ตัวอย่างที่สะท้อนใจคุณภาพชีวิตคนไทยที่รัฐบาลทหารบริหารจัดการผิดพลาดคือ นายจ้างจะพาแรงงานข้ามชาติชาวลาวและกัมพูชาไปฉีดวัคซีน พวกเค้าระบุเลยว่าต้องการฉีดเพียงวัคซีนอเมริกาเช่นเดียวกับในประเทศเค้าจัดหาให้ประชาชน เรียกว่า ความต้องการที่บริสุทธิ์ของเค้าตบหน้าทั้งนายจ้างไทยและรัฐบาลไทย ในขณะที่สมัยอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณทุกประเทศในโลกยอมรับและรับทราบในความสามารถ แม้แต่จีนที่เป็นพี่เบิ้มแห่งเอเชียที่รัฐบาลนี้พยายามอ้างอิงยังชื่นชมและยอมรับความสามารถในการบริหารจัดการในสถานการณ์โรคระบาดอย่างไข้หวัดนกในเวลานั้นที่จบลงอย่างรวดเร็ว และแทบไม่มีผลกระทบทางเศรษฐกิจ 

ไม่ต้องไปเทียบระดับทฤษฎีใหม่อย่าง ‘เอเชียบอนด์’ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณนำเสนอเมื่อ 20 ปีที่ผ่านมาชนิดจีนปรบมือให้ และนำไปต่อยอดในเวลาต่อมา หรือการแก้ไขปัญหาเข้าถึงระบบสาธารณสุขพื้นฐานของประชาชนไทยให้มีความเท่าเทียมใน ‘โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค’ ที่เป็นต้นแบบลดความเหลื่อมล้ำทางสาธารณสุขชองทั่วโลก เมื่อหันมาเทียบกับภาวะระบบสาธารณสุขที่เข้าใกล้การล้มเหลวในการรับมือผู้ป่วยไม่ไหวในระหว่างเดือน กรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ในยุคหัวหน้ารัฐบาลเป็นทหารเกษียณบริหาร ทำให้ประชาชนไทยป่วยตายคาบ้าน ตายตามท้องถนน เตียงในโรงพยาบาลขาดแคลนไม่เพียงพอที่จะรับประชาชนเข้าทำการรักษา  

"ประเทศไทยเสียเวลา 7 ปีเพื่อพิสูจน์ว่า ‘ความสามารถในการบริหารบ้านเมืองของทหารเกษียณว่าสู้อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้เลย’ เปรียบได้ว่าเป็นการลงทุนที่สูญเปล่าและติดลบ ทำลายโอกาสและอนาคตของประชาชนและประเทศชาติพอหรือยังคะ ทหารแก่ทหารเกษียณและผู้สนับสนุนเบบี้บลูมทั้งหลาย พวกคุณเหลือเวลาไม่กี่ปีจะจากโลกนี้ไปแล้ว ปล่อยวางละกิเลสบ้าง อย่าเอาความเห็นแก่ตัว ยึดติดกับอำนาจมาขโมยเวลาและอนาคตของเยาวชนคนรุ่นใหม่และทำลายโอกาสประเทศไทยอีกต่อไปเลย" เกศปรียา กล่าวทิ้งท้าย