จากกรณีกระทรวงการต่างประเทศออกแถลงการณ์ประเด็นการจัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการระหว่างอาเซียน-เมียนมานั้น โดย พลนชชา จักรเพ็ชร กรรมการบริหารพรรคและคณะทำงานต่างประเทศ พรรคเพื่อไทย เห็นว่าการที่กระทรวงต่างประเทศได้แถลงถึงเหตุความจำเป็นในการประชุมครั้งนี้ว่าต้องการเห็นสันติภาพและเสถียรภาพกลับคืนสู่เมียนมาอย่างยั่งยืน เพราะกระทบกับการค้าชายแดน ความมั่นคงทางพลังงาน การลักลอบค้ายาเสพติด การลักลอบค้าอาวุธ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ และอาชญากรรมข้ามชาติต่างๆของไทย จึงเป็นเหตุให้รอไม่ได้นั้น เป็นข้ออ้างที่ฟังไม่ขึ้นเพราะปัญหาต่างๆนั้นมีหน่วยงานที่ดูแลรับผิดชอบอยู่แล้วและไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆต่อการประชุมในครั้งนี้ ที่ผ่านมาทิศทางของไทยต่อเมียนมาร์ในยุครัฐบาล พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา ขาดหลักการ ทิศทางและการดำเนินนโยบายหลายๆ นโยบายที่มีต่อเมียนมาร์เป็นการกระทำที่ขัดต่อผลประโยชน์ของชาติ และได้ส่งผลเชิงลบต่อสถานะและอำนาจในการต่อรองของไทยในเวทีโลก และที่สำคัญเป็นการซ้ำเติมความอ่อนแอในการเจรจาของรัฐบาลชุดนี้อีกด้วย
การจัดประชุมอย่างไม่เป็นทางการในครั้งนี้ของรัฐบาลรักษาการย้อนแย้งกับหลักการ 5 ข้อของอาเซียน การประชุมทั้งสองครั้งก่อนหน้านี้ที่จัดขึ้นโดยรัฐบาลไทยที่ไทยและอินเดียก็ไม่มีความคืบหน้าแต่อย่างใด การกระทำของ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ เป็นการไม่ให้เกียรติอาเซียนและเป็นการกระทำที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ อีกทั้งการเป็นรัฐบาลรักษาการยิ่งไม่ชอบธรรมและไม่ควรที่จะทำอะไรที่จะส่งผลกระทบต่อนโยบายต่างประเทศไทยทั้งในระยะกลางและระยะยาว ที่ผ่านมาการดำเนินนโยบาย Quiet Diplomacy หรือ การทูตเงียบ ที่มีท่าทีค่อนข้างจะอ่อนกับรัฐบาลทหารเมียนมา ได้ล้มเหลวในการส่งเสริมสันติภาพในเมียนมาร์ ซ้ำร้ายกลับทำให้หลายๆฝ่ายมองว่าไทยถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบทำให้กับรัฐบาลทหารเมียนมาร์ด้วยซ้ำ ถือว่าเป็นความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศอย่างประเมินค่าไม่ได้ การกระทำเช่นนี้เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดทางการต่างประเทศของรัฐบาลเผด็จการที่ไม่ถูกยอมรับในเวทีโลก
พรรคเพื่อไทยมองเมียนมาเป็นมหามิตรและมองเห็นถึงความสำคัญในการร่วมมือกับรัฐบาลเมียนมาร์ในหลากหลายมิติ แต่การจัดประชุมในลักษณะนี้เป็นท่าทีที่ส่งผลเสียมากกว่าผลดี และ เป็นประเด็นละเอียดอ่อนที่ควรจะให้รัฐบาลใหม่เข้ามาจัดการ นโยบายต่างประเทศของพรรคเพื่อไทยมีความชัดเจนว่าเราจะเป็น “Active Promoter of Peace and Common Prosperity” หรือ "ผู้ส่งเสริมสันติภาพและความมั่งคั่งร่วมกัน" เพื่อสร้างและฟื้นคืน "ความไว้วางใจ" และ "ความมั่นใจ" ให้กับประเทศ ในขณะที่เราต้องรักษาความสัมพันธ์อันดีกับเมียนมาร์ เราจะไม่แทรกแซงกิจการภายในและไม่ข้องเกี่ยวกับความขัดแย้งใดๆ แต่เราจำเป็นจะต้องมีจุดยืนที่ชัดเจนในเรื่องของการส่งเสริมสันติภาพ ประชาธิปไตย สิทธิมนุษยชน ความเสมอภาค โดยยึดผลประโยชน์ของประเทศเป็นที่ตั้ง เพราะเราเชื่อว่าสันติภาพจะช่วยลดต้นทุนทางเศรษฐกิจซึ่งส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก
รัฐบาลชุดใหม่จะสนับสนุนสันติภาพให้กลับคืนสู่เมียนมาร์เพื่อสนันสนุนความมั่งคั่งร่วมกันภายใต้กรอบความร่วมมือของอาเซียน ท้ายที่สุด ตลอดเกือบ 9 ปีที่ผ่านมาประชาชนไทยขาดโอกาสในเวทีโลกไปมาก รัฐบาล พล.อ. ประยุทธ ไร้ประสิทธิภาพในการเจรจาการค้าระหว่างประเทศหรือการเปิดตลาดใหม่ๆ ขาดวิสัยทัศน์ในการบริหาร และ ไม่ถูกยอมรับในเวทีโลก จึงขอวิงวอนให้ ดอน ปรมัตถ์วินัย รมว.ต่างประเทศ หยุดสร้างความเสียหายให้กับประเทศ และ ขอให้รัฐบาลใหม่ได้เข้ามากอบกู้สถานะของไทยจึงจะเป็นประโยชน์สูงสุดของประเทศ