เวลา 16.50 น. วันที่ 15 ม.ค. 2566 ที่ทุ่งศรีเมือง จ.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย เปิดเวทีปราศรัยใหญ่ ‘ครอบครัวเพื่อไทย : อีสานยามใด๋ เพื่อไทยทอนั่น’ โดยมีแกนนำและผู้บริหารพรรคเพื่อไทย ร่วมเวทีปราศรัย นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา เลขาธิการพรรคเพื่อไทย แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่กรุงเทพมหานคร และ ส.ส.ภาคอีสาน พร้อมทั้งแนะนำตัว ส.ส.ของพรรคเพื่อไทยต่อหน้ามวลชนที่สวมเสื้อสีแดงมารอฟังการปราศรัยแน่นขนัดจำนวนหลายหมื่นคน
ทันทีที่ แพทองธารเดินทางมาถึงเวทีปราศรัยประชาชนต่างส่งเสียงให้กำลังใจดังสนั่น โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
โดย จิราพร สินธุไพร ส.ส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย ขึ้นปราศรัยเป็นคนแรกโดยย่ำ มีคนจำนวนหนึ่งดูถูกคนอีสานว่า ขี้เกียจ จน ด้อยการศึกษา ตนในฐานะลูกหลานชาวอีสาน ขอยืนยันว่า คนอีสาน อดทน ซื่อสัตย์ สู้ชีวิต มีศักยภาพ ขาดอยู่อย่างเดียวคือ โอกาส โดยตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษที่ผ่านมา มีหลายพรรคการเมืองเข้ามานำเสนอนโยบาย แต่ส่วนใหญ่ทำไม่สำเร็จ จนมีพรรคพรรคไทยรักไทย ที่ได้นำเสนอนโยบายต่อพี่น้องประชาชน และทำได้ทุกนโยบาย เช่น นโยบาย 30 บาทรักษาทุกโรค , 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ (โอทอป) , กองทุนหมู่บ้าน , พักหนี้เกษตรกร ฯลฯ
นอกจากนี้พรรคไทยรักไทยยังได้มีโครงการครัวไทยสู่ครัวโลก ที่นำวัฒนธรรมสร้างรายได้มาสู่ชาวอีสาน ด้วยการโปรโมทส้มตำ จนปัจจุบันส้มตำได้กลายเป็นเมนูอาหารของไทยที่มีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วโลก พรรคไทยรักไทยจึงเป็นพรรคที่มองเห็นถึงศักยภาพชาวอีสาน เห็นอกเห็นใจพี่น้องประชาชน พี่น้องชาวรากหญ้า จึงทำให้ ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีที่ยังคงนั่งอยู่ในหัวใจของพี่น้องชาวอีสานมาจนถึงทุกวันนี้
เช่นเดียวกับรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ประกาศนโยบายราคาข้าวตันละ 15,000-20,000 บาท ราคายางพารากิโลกรัมละ 80 บาท วางโครงการระยะยาว ทั้งโครงการสร้างอนาคตไทย 2 ล้านล้านบาท เพื่อยกระดับการคมนาคมขนส่งทั่วประเทศ เพื่อให้พี่น้องประชาชนเดินทางและค้าขายสะดวก วางแผนการบริหารจัดการน้ำทั้งระบบ แก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง เมื่อเกิดการรัฐประหารในปี 2557 อีสานยังประสบปัญหาน้ำท่วมสลับน้ำแล้ง รถไฟความเร็วสูง กทม.-นครราชสีมา ก่อสร้างได้เพียง 3.5 กิโลเมตรเท่านั้น ทั้งหมดคือค่าเสียโอกาสที่พี่น้องประชาชนได้รับ อาจเป็นเพราะรัฐบาลยังแก้ปัญหาค่าป้ายสถานีกลางบางซื่อ 33 ล้านบาท ซึ่งยังไม่ได้ข้อยุติ
นอกจากนี้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ยังได้เคยประกาศนโยบายปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และเงินเดือนปริญญาตรี 15,000 บาท แม้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ แต่เมื่อชนะการเลือกตั้งเป็นรัฐบาล ประสบกับวิกฤตอุทกภัยในปี 2554 แต่หลังจากนั้นเมื่อเศรษฐกิจขยายตัว พร้อมกับการลดภาษีนิติบุคคล รัฐบาลยิ่งลักษณ์สามารถผลักดันนโยบายได้สำเร็จ ทั้งหมดคือดีเอ็นเอที่ส่งต่อมายังพรรคเพื่อไทย
จึงเป็นแรงสนับสนุนว่า วิสัยทัศน์ที่แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย บุตรสาวคนสุดท้องของ ดร.ทักษิณ ประกาศไว้เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2565 ประกาศว่าภายในปี 2570 ค่าแรงขั้นต่ำจะปรับขึ้นมาอยู่ที่วันละ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรีเริ่มที่เดือนละ 25,000 บาท เหตุใดจะทำไม่ได้
จิราพร กล่าวว่า ที่ผ่านมาเป็นที่เข้าใจได้ว่า เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าพรรคเพื่อไทยจะไม่สามารถทำนโยบายดังกล่าวได้ เพราะเคยมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเคยสัญญากับพี่น้องประชาชนว่า หากเป็นรัฐบาลแล้วจะปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำวันละ 400-425 บาท เงินเดือนปริญญาตรีอยู่ที่ 20,000 บาท เมื่อได้เป็นรัฐบาลในขณะนี้ไม่สามารถทำได้ตามที่ประกาศเอาไว้ เพราะฉะนั้นวิธีที่จะหยุดพลเอกประยุทธ์ หยุดเผด็จการสืบทอดอำนาจ คือเสียงของพี่น้องประชาชนเลือกเพื่อไทย
พื้นที่ภาคอีสานคือฐานที่มั่นของฝ่ายประชาธิปไตย ทั้งในปัจจุบันและในอดีต ที่ราบสูงแห่งนี้สร้างขุนพลทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่น ไม่ว่าจะเป็นครูครอง จันดาวงศ์ เจ้าของวลี ‘เผด็จการจงพินาศ ประชาธิปไตยจงเจริญ’ รวมถึงครูเตียง สิริขันธ์ กลุ่มเสรีไทยที่เคยกอบกู้ชาติสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง เช่นเดียวกันคนเสื้อแดง ที่ร่วมต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ซึ่ง จ.อุดรธานี คือเมืองหลวงของพี่น้องเสื้อแดงที่ร่วมกันต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่จนทำให้พรรคไทยรักไทย พลังประชาชน และเพื่อไทยได้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด นี่คือพลังของชาวอีสานที่มีความคิดก้าวหน้า มีอุดมการณ์ทางการเมือง ไม่ยอมก้มหัวให้เผด็จการ
ดังนั้น ในการต่อสู้ที่กำลังจะมาถึง เป็นการเลือกตั้งครั้งใหญ่ ครั้งประวัติศาสตร์ การ เลือกตั้งครั้งนี้ จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประเทศไทย เป็นครั้งที่ชี้ชะตาว่าจะพา พี่น้องประชาชนลงเหวไปพร้อมกับพลเอกประยุทธ์ ที่มองไม่เห็นอนาคต หรือจะพาออกจากก้นเหว เดินหน้าเส้นทางประชาธิปไตย ไปสู่การอยู่ดีกินดี
“ถึงแม้พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะทิ้งพรรคพลังประชารัฐไปอยู่พรรครวมไทยสร้างชาติ และในอนาคตอาจจะไปสังกัดพรรคอื่น แต่ตราบใดที่ประเทศไทยมีนายกรัฐมนตรีที่ชื่อพลเอกประยุทธ์ อย่าว่าแต่แรงขั้นต่ำ หางานทำยังหายากเลย และแม้พลเอกประยุทธ์จะพยายามกระเสือกระสนอยู่ในอำนาจมากแค่ไหน คนรอบข้างจะพยายามเข็ญให้อยู่ในอำนาจมากแค่ไหน แต่ไม่มีอะไรใหญ่ไปกว่าเสียงของพี่น้องประชาชน ไม่มีอำนาจใดจะยิ่งใหญ่ไปกว่าอำนาจของพี่น้องประชาชน การเลือกตั้งครั้งนี้ ขอพี่น้องประชาชนใช้หนึ่งเสียงหนึ่งสิทธิ ร่วมกันเปลี่ยนแปลงประเทศ เปลี่ยนแปลงรัฐบาล เอาพลเอกประยุทธ์ออกไป เอาเพื่อไทย มาทำงานช่วยกันปักธงประชาธิปไตยในภาคอีสาน คืนความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชนทั้งประเทศ” จิราพร กล่าว