วันที่ 20 เม.ย. 2566 ที่ลานบริเวณสวนสยาม พรรคเพื่อไทย ลงพื้นที่ปราศรัยย่อย “คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อคนกรุงเทพ” โดยมีผู้ร่วมปราศรัย อาทิ แพทองธาร ชินวัตร (ผ่านระบบออนไลน์) , เศรษฐา ทวีสิน 2 แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีพรรคเพื่อไทย , ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย , พวงเพ็ชร ชุนละเอียด ประธานคณะกรรมการประสานงานด้านการเมืองพื้นที่ กทม. , ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะรณรงค์หาเสียง กทม. , ปานปรีย์ พหิทธานุกร คณะทำงานด้านนโยบายเศรษฐกิจ แกนนำพรรคเพื่อไทย และผู้สมัคร ส.ส. กทม.ของพรรคเพื่อไทย อาทิ วิชาญ มีนชัยนันท์ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 19 กทม. , โพโรจน์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 18 กทม. , ไพฑูรย์ อิสระเสรีพงษ์ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 17 กทม. , ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 20 กทม. , พงศกร รัตนเรืองวัฒนา ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 14 กทม. , ธกร เลาหพงศ์ชนะ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 22 กทม. , อรรฆรัตน์ นิติพน ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 21 กทม. , พลภูมิ วิภัติภูมิประเทศ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 15 กทม. , จิรายุ ห่วงทรัพย์ ผู้สมัครส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 16 กทม. , สกาวใจ พูนสวัสดิ์ ผู้สมัคร ส.ส. เขตเลือกตั้งที่ 13 กทม.

จากนั้น แพทองธาร ปราศรัยว่า ตอนนี้ใกล้คลอดแล้ว เพราะตั้งครรภ์จะครบ 9 เดือน โดยวันนี้จะกล่าวย้ำถึงความพร้อมของพรรคเพื่อไทยที่จะทำหน้าที่เป็นรัฐบาล เพื่อบรรเทาวิกฤตจากเกือบทศวรรษที่ผ่านมา ให้ชีวิตของพี่น้องได้กินดีอยู่อีกครั้ง โดยนโยบายมากมายจากพรรคเพื่อไทย รวมถึงนโยบายที่จะทำให้กรุงเทพมหานครฯ กลับมาน่าอยู่ และเป็นเมืองแห่งโอกาสของคนไทยทุกคน รวมถึงนโยบายขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ เงินดิจิทัลวอลเล็ต และสร้างโอกาสให้พี่น้องได้มีโอกาสในการแก้ไขข้อจำกัดในการประกอบอาชีพของพี่น้องประชาชนอีกด้วย รวมทั้งความเป็นไปได้ของนโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท ตลอดสาย ที่พรรคเพื่อไทยพูดไปแล้ว ต้องเป็นจริง

“เลือกตั้งครั้งนี้ พรรคเพื่อไทยต้องแลนด์สไลด์ ไม่งั้นเรามีนายกฯ คนเดิมแน่นอน หากต้องการเปลี่ยนแปลง เราต้องเลือกตั้งอย่างมียุทธศาสตร์อย่างแบ่งใจให้ใคร เพื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทยที่จะแก้ไขทุกวิกฤตให้ชีวิตพี่น้องประชาชนหลุดพ้นจากความทุกข์ วันที่ 14 พ.ค. ต้องเข้าคูหากาเพื่อไทย ทั้งคน ทั้งพรรค” แพทองธาร กล่าว

ด้าน ดนุพร ปุณณกันต์ ประธานคณะกรรมการรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง กทม. พรรคเพื่อไทย ย้ำจุดยืนหลักคิดของพรรคเพื่อไทย ‘ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส’ ให้กับประชาชน ปัจจุบันค่าไฟ ค่าน้ำมัน และราคาแก๊สหุงต้ม มีราคาสูง พรรคเพื่อไทยจะเข้ามาลดราคาใช้จ่ายให้พี่น้องประชาชนทันที เมื่อลดรายจ่าย พรรคเพื่อไทยพร้อมดำเนินนโยบายเพิ่มรายได้ให้พี่น้องประชาชน ด้วยกานเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำรายวันเป็น 600 บาท และเงินเดือนเริ่มต้นของบัณฑิตใหม่ 25,000 บาทต่อเดือน รวมเงินถึงนโยบายเงินดิจิตอล 10,000 บาท สำหรับคนไทยอายุ 16 ปี ในการจังจ่ายกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชน ตามที่อยู่บัตรประชาชนในรัศมี 4 กิโลเมตร ภายใน 6 เดือน พร้อมกล่าวเสริมถึงการขยายโอกาสให้ประชาชน เริ่มจากเรื่องสุขภาพที่ประชาชนต้องมีอากาศสะอาด และการยกระดับบัตร 30 บาท ผ่านการใช้งานผ่านบัตรประชาชนใบเดียวทั่วไทย คนกรุงเทพฯ ต้องมีโรงพยาบาล 50 แห่ง 50 เขต

ส่วนการลงพื้นที่ของผู้สมัครระบบเขตนั้น ต้องขอเวลาให้ผู้สมัคร ส.ส. ได้เข้าถึงพื้นที่ที่ถูกแบ่งใหม่ด้วย กกต. ให้คุ้นชิน แต่รับรองได้ว่าเข้าถึงประชาชนทุกคนแน่นอน พร้อมสยบข่าวลือเพื่อไทยจะจับมือกับใครได้ โดยระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน ว่าที่นายกรัฐมนตรีนั่งอยู่ตรงนี้เป็นเรียบร้อย คู่แข่งของพรรคเพื่อไทยคือรัฐบาลพรรคไทยรักไทยและรัฐบาลเพื่อไทยในอดีต ที่เคยแลนด์สไลด์สำเร็จ เราต้องทำลายสถิติของเราให้ได้

“ในวันที่ 14 พ.ค. พี่น้องประชาชนจะเป็นคนเปิดประตูให้พรรคเพื่อไทยเข้าไปเป็นรัฐบาล ไม่ใช่ทหารหรือตำรวจหน้าไหน เพราะพรรคเพื่อไทยหัวใจคือประชาชน” ดนุพร กล่าว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทันทีที่เศรษฐาเดินทางมาถึงเวที ประชาชนผู้มาร่วมการปราศรัยหลายพันคน ต่างห้อมล้อมเศรษฐา และขอถ่ายรูป ตลอดการเดินฝ่าวงล้อมเข้าไปยังหน้าเวทีปราศรัย โดยเศรษฐาได้ถ่ายรูปร่วมร่วมกับประชนที่เข้ามาทักทายเป็นจำนวนมากอย่างใกล้ชิด โดยพิธีกรบนเวทีประกาศในช่วงที่เศรษฐาเดินพบปะประชาชนเป็นระยะว่า "เลือกเศรษฐา พาคนไทยไปเป็นเศรษฐี" , "ขอเสียงให้ว่าที่นายกรัฐมนตรี จากพรรคเพื่อไทย" 

จากนั้น เศรษฐา ปราศรัยยืนยันถึงความชำนาญในด้านเศรษฐกิจ ยึดโยงกับประชาชน ไม่เอารัฐประหาร รังเกียจเผด็จการ พร้อมย้ำนโยบายสำคัญที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอ ไม่ว่าจะเป็นการสมัครใจเกณฑ์ทหาร ให้ชายไทยอายุ 20 ปี มีอิสรภาพในการประกอบอาชีพ การให้ความสำคัญกับการทำงานที่โปร่งใส ไม่ยอมรับการทุจริตคอร์รัปชัน เงินทุกบาทต้องตกกับคนไทยทุกคน การยกระดับการปราบปรามยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ จับกุมผู้ผลิตและผู้ค้า พร้อมทำให้กลไกการยึดเงินผู้กระทำผิดรวดเร็วฉับไวขึ้น เปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาดูแล และนายกรัฐมนตรีจะต้องนั่งหัวโต๊ะเป็นเจ้าภาพในการจัดการอย่างเด็ดขาด พร้อมสนับสนุนกัญชาเพื่อการแพทย์เท่านั้น

นอกจากนี้ เขายังย้ำถึงนโยบายอากาศสะอาด ลด PM 2.5 โดยจำกัดซากพืชผลการเกษตรด้วยจุลินทรีย์ เจรจาประเทศเพื่อนบ้านป้องกันไม่ให้เกิดการเผา คืนอากาศสะอาดให้ประชาชน รวมถึงลดเขม่าควันจากรถสันดาบ ด้วยการสนับสนุนการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ผลักดันค่าโดยสารรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย เพื่อสนับสนุนคนมาใช้รถขนส่งสาธารณะที่เข้าถึง เชื่อมต่อรถเมล์ รถไฟ 10 บาท จ่าย 30 บาท ถึงจุดหมายปลายทาง พร้อมย้ำนโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาท ให้กับคนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไปที่โดนใจพี่น้องประชาชน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจชุมชนให้แข็งแรง 

“หาก ส.ส.กทม. 33 เขต 33 คนคุณภาพของพรรคเพื่อไทย ที่มีความตั้งใจเดินหน้าเข้าสู่สภา เพื่อส่งแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยนั่งทำเนียบรัฐบาล ขอพี่น้องเลือกทั้งคน ทั้งพรรค 14 พ.ค.นี้ จะเป็นวันเปลี่ยนประวัติศาสตร์การเมืองไทย หวังว่า ส.ส.กทม. ของเพื่อไทยจะได้เข้ามาทำหน้าที่เพื่อพี่น้องประชาชน ขอให้เลือกเพื่อไทยแลนด์สไลด์ทั้ง กทม.” เศรษฐากล่าว

ณัฐวุฒิ กล่าวว่า นับถอยหลังอีก 24 วันจะถึงวันเลือกตั้ง วันนี้ข่าวปล่อยต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการจับมือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยกเก้าอี้ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เราประกาศชัดเจนไปแล้วว่า ถ้าเราชนะแลนด์สไลด์ เก้าอี้นายกรัฐมนตรีต้องเป็นของแคนดิเดตพรรคเพื่อไทยเท่านั้น ไม่มีทางเป็นอื่น พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคเดียวที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนขั้วรัฐบาลจาก พล.อ.ประยุทธ์ มาเป็นขั้วฝ่ายประชาธิปไตยได้ หากคะแนนเพื่อไทยลดลง ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง อำนาจเดิมจะไปจับมือ ส.ว.โหวต พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจากนั้นเหตุการณ์ให้กล้วย หรืองูเห่า จากทุกพรรคเพื่อรวมเสียงโหวตเลือกพลเอกประยุทธ์ตั้งรัฐบาลอีกครั้ง 

ดังนั้น พรรคเพื่อไทยเคารพทุกเสียงของประชาชน หากเป้าหมายของพี่น้องประชาชนคือชัยชนะ ตั้งรัฐบาลประชาธิปไตย ไล่เผด็จการประยุทธ์ออกไป ต้องกาเพื่อไทยทั้ง 2 ใบให้แลนด์สไลด์จัดตั้งรัฐบาลให้ได้

“บ้านเมืองนี้ต้องการเปลี่ยนแปลง ถ้าเปลี่ยนรัฐบาลไม่ได้ ไม่สามารถเปลี่ยนอะไรได้ เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองคราวนี้ เริ่มต้นจากเปลี่ยนรัฐบาล และถ้าจะเปลี่ยนรัฐบาล เพื่อไทยเท่านั้นคือคำตอบ” ณัฐวุฒิ กล่าว