รัฐบาลศรีลังกาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเมื่อคืนวันอังคารที่ผ่านมา (6 มีนาคม) หลังจากเผชิญเหตุวุ่นวายจากกลุ่มชาวพุทธสุดโต่งที่บุกเผาทำลายบ้านเรือนชาวมุสลิมไป 37 หลังคาเรือน ร้านค้าอีก 46 แห่ง และมัสยิด 4 หลัง สร้างความหวาดกลัวให้กับชาวมุสลิมในประเทศ โดยการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินนี้กินเวลา 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ 6 มีนาคม และจะทำให้หลายพื้นที่ รวมถึงเมืองแคนดี สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญและมีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ มีการประกาศเคอร์ฟิว ซึ่งอาจทำให้นักท่องเที่ยวได้รับผลกระทบบ้าง

ขณะที่กระทรวงต่างประเทศของสหรัฐฯ ก็ประกาศเตือนนักท่องเที่ยวให้ระมัดระวังการเดินทางไปยังศรีลังกา เนื่องจากอาจเกิดเหตุรุนแรงขึ้นอีกได้ภายในสัปดาห์นี้ ทั้งในแคนดีและอีกหลายเมืองโดยรอบ

ความรุนแรงครั้งล่าสุดในศรีลังกาเกิดจากเหตุการณ์ในเมืองแคนดี ที่นายเอ็มจี กุมาราสิงเห ชายชาวพุทธคนหนึ่ง มีปากเสียงกับชาวมุสลิม 4 คน และถูกกลุ่มชายมุสลิมทำร้ายจนบาดเจ็บสาหัส และเสียชีวิตในเวลาต่อมา โดยตำรวจยืนยันว่าต้นตอของเหตุการณ์เกิดจากอุบัติเหตุทางรถยนต์ ทำให้คู่กรณีมีปากเสียงกัน บวกกับการดื่มสุราจนมึนเมา ไม่เกี่ยวข้องกับความเกลียดชังทางเชื้อชาติ และครอบครัวของผู้เสียชีวิตก็ได้รับเงินชดเชยแล้ว โดยตกลงกันภายใต้การไกล่เกลี่ยจากผู้นำศาสนาทั้งสองศาสนาในชุมชน ส่วนตัวผู้ก่อเหตุทั้ง 4 คน อยู่ในการควบคุมตัวของตำรวจ

อย่างไรก็ตาม หลังการจัดงานศพของชายคนดังกล่าวเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา ชาวสิงหลพุทธจำนวนหนึ่งได้บุกเผาทำลายธุรกิจมุสลิม 46 แห่ง บ้านเรือนอีก 37 หลัง และมัสยิด 4 แห่ง รวมถึงเผาทำลายยานพาหนะอีกจำนวนมาก จนทำให้ชาวมุสลิมต่างตกอยู่ในภาวะหวาดกลัว และรัฐบาลเกรงว่าสถานการณ์จะบานปลายจนเกิดการแก้แค้นกันไปมาระหว่างชาวพุทธและมุสลิม จึงประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเพื่อควบคุมความรุนแรง โดยยืนยันว่าจะจัดการขั้นเด็ดขาดกับผู้ที่ก่อความรุนแรงในชุมชน

ชาวมุสลิมมีสัดส่วนร้อยละ 9 ของประชากรทั้งหมดในศรีลังกา ในขณะที่คนส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 75 เป็นชาวสิงหล ซึ่งนับถือศาสนาพุทธ และอีกประมาณร้อยละ 11 เป็นชาวทมิฬซึ่งนับถือศาสนาฮินดู โดยก่อนหน้านี้ ศรีลังกาตกอยู่ภายใต้การประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินยาวนานถึง 26 ปี ในระหว่างที่รัฐบาลพุทธสิงหลต่อสู้กับกลุ่มกบฏทมิฬ ก่อนที่สงครามจะสิ้นสุดลงด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายทมิฬในปี 2009