ไม่พบผลการค้นหา
ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์ฯ เปิดเผยผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและทุจริต เผยธุรกิจไทยเกือบครึ่งเป็นเหยื่อการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ชี้สถิติสูงขึ้นสะท้อนความตื่นตัวและการตรวจสอบทุจริตในแวดวงธุรกิจไทยเพิ่มขึ้น เผยทุจริตด้วยการยักยอกทรัพย์พบมากที่สุด

นายวรพงษ์ สุธานนท์ หุ้นส่วนสายงาน Forensic services บริษัท ไพรซ์วอเทอร์เฮาส์คูเปอส์ ประเทศไทย หรือ PwC ประเทศไทย เปิดเผยผลสำรวจอาชญากรรมทางเศรษฐกิจและการทุจริต Shining a light on fraud: Economic Crime Survey in Thailand ประจำปี 2561 ซึ่งบริษัทเป็นผู้จัดทำรายงานดังกล่าวขึ้นทุกๆ 2 ปี 

สำหรับในปี 2561 มีผู้ตอบแบบสอบถามจำนวนทั้งสิ้น 522 ราย โดยกลุ่มผู้ตอบแบบสอบถาม มาจากองค์กรธุรกิจหลายประเภท ทั้งบริษัทจดทะเบียน บริษัทเอกชน และหน่วยงานภาครัฐในประเทศ พบว่าเกือบครึ่งหนึ่ง หรือร้อยละ 48 ของบริษัทในประเทศไทยตกเป็นเหยื่อการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ สูงกว่าผลการสำรวจเมื่อปี 2559 ที่มีเพียงประมาณ 1 ใน 4 ของบริษัทในประเทศไทยเท่านั้นที่ยอมรับว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในองค์กร ซึ่งแม้จะเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ถือว่า เป็นสัญญาณบวกของประเทศมากกว่าที่จะมองว่าเป็นสัญญาณเตือนภัย

"ตัวเลขที่สูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในปีนี้ แม้ว่าจะน่าวิตก แต่เมื่อพิจารณาอย่างถี่ถ้วนประกอบกับประสบการณ์ทำงานของ PwC แล้ว สะท้อนให้เห็นว่า องค์กรในประเทศไทยเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยงด้านการทุจริตและสามารถตรวจพบเหตุทุจริตได้เพิ่มขึ้น มากกว่าที่จะสื่อว่า จำนวนของเหตุทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีสูงขึ้น ซึ่งนี่ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี" นายวรพงษ์ กล่าว 

ทั้งนี้ ผลการสำรวจในประเทศไทยในครั้งนี้ ไม่ได้มุ่งเน้นแค่การทุจริตที่ตรวจพบได้เท่านั้น แต่ยังช่วยให้บริษัทเห็นถึงจุดบอดที่มีการทุจริตซ่อนอยู่ และรู้ว่าควรปฏิบัติตัวอย่างไรเพื่อป้องกันการทุจริตในองค์กร เพราะการทุจริตและอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ส่งผลกระทบต่อทุกประเทศและทุกภาคอุตสาหกรรม ทั้งยังเกิดขึ้นได้ในหลากหลายรูปแบบ ด้วยวิธีการที่ซับซ้อน จึงทำให้ตรวจจับได้ยาก 

อย่างไรก็ตาม แม้ว่าองค์กรจะต้องต่อสู้กับสิ่งที่มองไม่เห็น แต่หากตระหนักว่า อาชญากรรมทางเศรษฐกิจมีผลกระทบต่อบริษัท และรับได้ว่ามีการทุจริตเกิดขึ้น ก็ถือเป็นก้าวแรกที่จะชนะได้แล้ว แม้ว่าจะยังหาตัวผู้กระทำผิดไม่พบก็ตาม ดังนั้น คำถามสำคัญที่ทุกองค์กรควรกระตุ้นเตือนตัวเองอยู่ตลอดเวลาคือ คุณทราบหรือไม่ว่า การทุจริตมีผลกระทบต่อบริษัทของคุณอย่างไร และ คุณกำลังหลับหูหลับตาสู้ หรือสู้แบบลืมตาอยู่ มิใช่เพียงแค่ตั้งคำถามว่า มีการทุจริตเกิดขึ้นในบริษัทหรือไม่เท่านั้น

ประเทศไทยพบการทุจริตประเภท 'ยักยอกทรัพย์' มากที่สุด 

ทั้งนี้ ผลสำรวจยังแสดงให้เห็นว่า การยักยอกสินทรัพย์ (Asset misappropriation) ยังคงเป็นประเภทของการทุจริตที่พบได้มากที่สุดในประเทศไทยในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยคิดเป็นร้อยละ 62 สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 45 เช่นเดียวกับตัวเลข การประพฤติผิดทางธุรกิจของไทย (Business misconduct) คิดเป็นร้อยละ 40 สูงกว่าอัตราเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 28 นี่สะท้อนให้เห็นว่า นโยบายป้องกันการทุจริตในองค์กรยังมีช่องโหว่ ซึ่งกลายเป็นช่องทางที่เปิดโอกาสให้มีการแสวงหาประโยชน์จากพื้นที่สีเทา หรือ ความไม่ชัดเจนของนโยบายดังกล่าว

อย่างไรก็ดี แม้ว่าอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์ (Cybercrime) จะเป็นภัยคุกคามที่น่ากังวล แต่มีเพียง 1 ใน 5 หรือร้อยละ 21 ของผู้ตอบแบบสอบถามเท่านั้นที่ทราบว่า บริษัทของตนตกเป็นเหยื่อของภัยไซเบอร์ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา โดยร้อยละ 11 จัดให้ภัยไซเบอร์เป็นอาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่มีผลกระทบร้ายแรงที่สุดต่อองค์กรในเวลานี้ และเกือบ 1 ใน 3 หรือร้อยละ 32 คาดว่า ในอีกสองปีข้างหน้า อาชญากรรมทางไซเบอร์จะกลายเป็นอาชญากรรมที่ส่งผลกระทบร้ายแรงที่สุด

ทั้งนี้ ร้อยละ 71 ของผู้ตอบแบบสอบถามระบุว่า บริษัทของพวกเขามีความพยายามในระดับปานกลางถึงระดับมาก ในการปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจเพื่อป้องกันการทุจริต หรืออาชญากรรมทางเศรษฐกิจที่เกิดจากคนภายในองค์กร ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 83 อย่างไรก็ตาม มีเพียงร้อยละ 23 เท่านั้นที่บอกว่า บริษัทให้ความสำคัญมากในการยกระดับมาตรฐานจริยธรรมของพนักงาน ซึ่งน้อยกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่ร้อยละ 34 และแม้ว่าร้อยละ 70 ของการทุจริตร้ายแรงที่สร้างความเสียหายทางการเงินให้กับองค์กรจะมีสาเหตุมาจากพนักงานก็ตาม

"เมื่อบริษัทต่างๆ เข้าใจว่า การทุจริตรวมถึงอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเกิดขึ้นได้อย่างไร ก็จำเป็นจะต้องจัดให้มีการควบคุมและป้องกันภัยคุกคามเหล่านี้ โดยการพัฒนาบุคลากร การปรับปรุงกระบวนการทางธุรกิจ และการลงทุนในเทคโนโลยี หรือนวัตกรรมต่างๆ จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดการทุจริตได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น" นาย วรพงษ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน ก็ยังคาดหวังว่า จะมีจำนวนบริษัทที่มีมาตรการป้องกันอาชญากรรมทางเศรษฐกิจเหล่านี้เพิ่มมากขึ้น

ทุจริตในธุรกิจที่พบมากขึ้น สะท้อนการรับรู้และตรวจสอบในแวดวงธุรกิจไทยเพิ่มขึ้น

ด้าน นาย ศิระ อินทรกำธรชัย ประธานกรรมการบริหาร และหุ้นส่วน บริษัท PwC ประเทศไทย กล่าวว่า เปอร์เซ็นต์การรับรู้การทุจริตที่เพิ่มขึ้น สะท้อนให้เห็นว่า บริษัทในประเทศไทยมีความตระหนักและเข้าใจถึงผลกระทบของอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ ที่มีต่อขีดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจในเวทีโลก และความสามารถในการดึงดูดนักลงทุนจากต่างชาติมากขึ้นกว่าในอดีต

"ระดับของการรับรู้ รวมทั้งการยอมรับถึงปัญหา และหาแนวทางแก้ไขอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ จะเป็นก้าวสำคัญของธุรกิจ ที่นำไปสู่การป้องกันตัวเองอย่างมีประสิทธิภาพในระยะยาว และยังสะท้อนว่า ไทยให้ความสำคัญต่อการวางภาพลักษณ์ ผ่านการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างจริงจัง เพื่อให้ประเทศยังคงเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจในสายตาของนักลงทุนต่างชาติ"

อีกทั้ง ผลการสำรวจครั้งนี้ยังแสดงให้เห็นว่า ทุกภาคส่วนมีการหารือกันในเรื่องการแก้ไขปัญหาการทุจริตมากขึ้น และชี้ให้เห็นว่า ไทยเปิดรับวัฒนธรรมการทำธุรกิจการบริหารงานแบบโปร่งใส และการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณชนมากขึ้น ซึ่งทาง PwC ประเทศไทย ต้องการจะที่ผลักดันให้บรรยากาศเช่นนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เนื่องจากจะเป็นผลดีต่อการดำเนินธุรกิจ และระบบเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม

ทั้งนี้ สายงาน Forensic Services ของ PwC ในประเทศไทยก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2552 ซึ่งให้บริการให้คำปรึกษาที่เกี่ยวกับการป้องกัน การตรวจจับ และการสืบหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตเป็นครั้งแรกในประเทศไทย โดยทีมงานมีการแบ่งปันประสบการณ์ทำงานดังกล่าว กับบริษัทเอกชนและองค์กรวิชาชีพในงานสัมมนาและการประชุมต่างๆ อยู่เป็นประจำ เพื่อสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการป้องกันและตรวจสอบการทุจริตในองค์กร

คำแนะนำต่างๆ ล้วนเป็นการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ได้มาจากการสืบหาพยานหลักฐานจำนวนนับไม่ถ้วนในกรณีการทุจริตทางบัญชี การยักยอกทรัพย์ การให้สินบนเชิงพาณิชย์ การรับสินบนจากผู้ค้า หรือคู่ค้า และอาชญากรรมทางไซเบอร์ รวมถึงการให้คำแนะนำบริษัทต่างๆ ที่ต้องการปฏิบัติตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการต่อต้านการคอร์รัปชันและการป้องกันการฟอกเงิน

ภาพจาก Photo by dylan nolte on Unsplash

ข่าวที่เกี่ยวข้อง :