ไม่พบผลการค้นหา
พาณิชย์ เผยสหภาพยุโรปชื่นชมสถานการณ์ไทยดีขึ้น ลงมติรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับประเทศไทยในทุกระดับ พร้อมฟื้นสัมพันธ์เศรษฐกิจและการเจรจา FTA ไทย-สหภาพยุโรป

นางสาวชุติมา บุณยประภัศร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้รับรายงานจากสำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ณ กรุงบรัสเซลส์ ว่า เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2560 คณะมนตรีการต่างประเทศของสหภาพยุโรป (อียู) ลงมติให้รื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองกับไทยในทุกระดับ รวมถึงการเจรจา FTA ไทย-อียู โดยให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาความเป็นไปได้ที่จะเริ่มเจรจากันต่อภายหลังการเลือกตั้งของไทย ซึ่งการออกแถลงการณ์มติของอียูครั้งนี้เป็นก้าวสำคัญในการสานต่อความสัมพันธ์หุ้นส่วนเชิงยุทธศาสตร์ระหว่างไทยและอียู หลังจากฝ่ายอียูระงับการเยือนไทยของผู้แทนระดับสูงของตนแต่เดือนมิถุนายน 2557

นางสาวชุติมา กล่าวเพิ่มเติมว่า มติของคณะมนตรีการต่างประเทศของอียูครั้งนี้ สะท้อนถึงพัฒนาการทางการเมืองที่ดีขึ้นของไทย และความสนใจของอียูที่ชื่นชมบทบาททางเศรษฐกิจของไทยในอาเซียน ซึ่งไทยเป็นประเทศผู้ประสานงานในกรอบความสัมพันธ์อาเซียน-อียู จึงเห็นควรเริ่มรื้อฟื้นความสัมพันธ์ทางการเมืองอย่างเป็นทางการกับไทยได้ในทุกระดับอย่างค่อยเป็นค่อยไป

และให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณาถึงความเป็นไปได้ที่จะกลับมาเจรจา FTA ไทย-อียู หลังจากที่ไทยมีรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่างไรก็ดี ในข้อมติดังกล่าวระบุว่า อียูจะติดตามและให้ความสำคัญกับการจัดการเลือกตั้งในช่วงปลายปี 2561 สิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงความเห็นของไทย

สำหรับการเจรจา FTA ไทย-อียู ได้เจรจาครั้งแรกเมื่อ 2556 และได้ชะลอการเจรจาหลังเจรจาแล้ว 4 ครั้ง เมื่อเดือนเมษายน 2557 ซึ่งมติของคณะมนตรีการต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่มอบหมายให้คณะกรรมาธิการยุโรปพิจารณา  รื้อฟื้นการเจรจา FTA ไทย-อียู เป็นการส่งสัญญาณที่ดีและอาจเป็นจุดเริ่มต้นให้ทั้งสองฝ่ายเตรียมการหารือแนวทางเจรจา FTA ระหว่างกันต่อไป

นอกจากนี้ จากการพบปะกับสมาชิกสหภาพยุโรปหลายประเทศและภาคเอกชนของอียูและไทย ต่างก็พร้อมสนับสนุนให้ไทยและอียูได้เริ่มการหารือระดับเทคนิคอีกครั้ง ซึ่งคณะเจรจาระดับเทคนิคของฝ่ายไทยได้แสดงความพร้อมหารือเมื่ออียูพร้อมหารือกับไทย

ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้มอบให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศติดตามพัฒนาการของอียูในการจัดทำ FTA หรือข้อตกลงทางการค้ากับประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อเตรียมความพร้อมของไทยเมื่ออียูพร้อมจะรื้อฟื้นการเจรจา FTA โดยในช่วงที่ผ่านมา รัฐบาลได้เดินหน้าปฏิรูปกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการค้าที่สำคัญเพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจไทย

อาทิ กฎหมายการแข่งขันทางการค้าและพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว เพื่ออำนวยความสะดวก รวมทั้งส่งเสริมการค้าและการลงทุนที่เป็นธรรมด้วย ซึ่งการเจรจา FTA กับอียูถือเป็นความท้าทาย เนื่องจากการเจรจาไม่ได้มุ่งหวังเพียงแต่การลดภาษีนำเข้าสินค้า แต่จะมีประเด็นอื่นที่เชื่อมโยงกับการค้าซึ่งไทยคงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแข่งขันทางการค้า ทรัพย์สินทางปัญญา ความโปร่งใส และการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสีย ซึ่งหากการเจรจา FTA มีความคืบหน้าสามารถหาข้อสรุปได้ คาดว่าจะช่วยดึงดูดการลงทุนและทำให้เกิดการปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบภายในประเทศให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากลมากขึ้น

ภายหลังจากการเจรจา FTA ไทย-อียู ชะลอไปเมื่อปี 2557 มูลค่าการค้าระหว่างไทยและอียูมีแนวโน้มลดลง อย่างไรก็ดี ในระยะหลังได้ปรับตัวสูงขึ้น โดยอียูเป็นคู่ค้าสำคัญอันดับ 4 และนักลงทุนอันดับ 2 ของไทย ในปี 2559 มีมูลค่าการค้ารวมกว่า 40,133 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยไทยส่งออกไปอียูมูลค่า 22,044 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้าจากอียูมูลค่า 18,089 ล้านเหรียญสหรัฐ ด้านการลงทุน ในปี 2559 สหภาพยุโรปมีการลงทุนในไทย 6,731 ล้านเหรียญสหรัฐ