เพื่อนมาเลเซียบอกว่า... อะไรเนี่ยหนังถ่ายทำที่มาเลเซีย ดาราก็คนมาเลเซีย อะไรๆ ก็มาเลเซียหมดทำไมจะต้องมาปลอมตัวหลอกฝรั่งว่าเป็นหนังเรื่องคนสิงคโปร์ด้วย เพื่อนชาว Chinese-American ก็บอกว่า... โอ้ว... ในที่สุด Chinese-American ก็ได้มีที่ทางในฮอลลีวูดแล้ว นี่เป็นความเท่าเทียมกันทางชาติพันธุ์เซเลบอย่างแท้ทรู ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ
หลายกระแสทุ่มเถียงกันมากมายจนหมวยสยามอย่างเราเวียนหัวไปหมดแล้ว... อ่อ... แล้วก็มีที่แสดงความขัดใจในนางต้นห้องของอาม่าในหนังอีกว่าทำไมจะต้องเป็นคนไทยและทำไมจะต้องใส่ชุดไทยบรมพิมานอีก เว่อร์ซะไม่มี...
ท้ายสุดแล้วเราว่าหนังมันก็เป็นแฟนตาซีของ Chinese-American นั่นแหละ คือรู้สึกเก็บกดมานานว่าเป็นประชากรชั้น 2 ไม่ได้รับการยอมรับจากสังคมอเมริกันที่มองเฉพาะสีผิวเปลือกนอก จนมีวาทกรรม กล้วยหอม ออกมาว่าฉันเป็นสีเหลืองแค่เปลือกเท่านั้นแหละ ปอกเข้าไปเนื้อข้างในก็เป็นฝรั่งผิวขาวเหมือนอเมริกันเชื้อชาติยุโรปทั้งหลายนี่แหละ อย่ามาเรียกร้องให้ฉันเป็นเอเชียนักเลย
ในขณะเดียวกันก็หงุดหงิดกับบรรดาพ่อแม่ปู่ย่าตายายและญาติผู้ใหญ่ฝ่ายจีนทั้งหลายที่เรียกร้องจะให้ทั้งเรียนเก่ง ประสบความสำเร็จในการงาน และก็แต่งงานมีผัว/เมียรวย ดูดีมีชาติตระกูลและควรจะเป็นคนเชื้อสายเอเชียเหมือนกันด้วย ถ้ามีแฟนฝรั่งก็จะไม่ถูกใจ และจะยิ่งแล้วใหญ่ถ้าเปลี่ยนเป็นแขกหรือคนผิวดำ อย่าว่างั้นงี้เลยค่ะคุณ เหยียดสีผิวที่สุดก็ชาวเอเชียทั้งหลายนี่แหละค่า เจ๊กรังเกียจแขก แขกรังเกียจคนผิวดำ คนผิวดำรังเกียจเจ๊ก เจ๊กรังเกียจเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ วนไปวนมาอย่างงี้ไม่จบไม่สิ้น ก็เลยต้องแต่งเรื่องมาปลอบใจตัวเอง ว่าสักวันหนึ่งความเป็นคนเชื้อสายจีนของฉันแม้ในจิตใจจะเป็นอเมริกันเต็มตัว แต่ก็จะต้องตาต้องใจลูกเสี่ยชาวจีนโพ้นทะเลจากสิงคโปร์ที่รวยอย่างบ้าคลั่งแล้วฉันก็จะได้นั่งเครื่องบินชั้น first class กลับไปพบกับครอบครัวและเครือญาติอันรวยบ้าคลั่งกันทั้งสิ้นของเขา แล้วฉันก็ต้องมีความต่อสู้ประชันวิทยายุทธกับแม่ของเขาซักประมาณหนึ่งให้พองามสมเป็นสะใภ้จีนตามขนบนิยายน้ำเน่าจีนอันดีงาม แต่ท้ายสุดแล้วฉันก็จะเอาชนะใจทุกคนได้เหมือนพจมานแห่งบ้านทรายทอง แล้วฉันก็จะได้มีชีวิตอยู่แบบร่ำรวยอย่างบ้าคลั่งและได้เป็นชนชั้นนำ เป็นอภิสิทธิชนกับเขาเสียที หลังจากที่จ่อมจมอยู่กับความเป็นประชากรชั้น 2 มาตลอดชีวิตทั้งในสังคมอเมริกันชนผิวขาวและในเครือญาติชาวจีนของตัวเอง
แฟนตาซีนี้จริงแท้แค่ไหนนั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ถ้าจะให้พิสูจน์กันจริงๆ ว่ามันจริงหรือมันมโนมากขนาดไหนคงต้องทำวิจัยกันจริงจังพอสมควร (เขียนอย่างงี้คือโดยส่วนตัวไม่เชื่อว่าจริง แต่ไม่อาจรับผิดชอบความถูกผิดน่าเชื่อถือของ คหสต ของตัวเองได้ ดังนั้นไม่พูดดีกว่า) แต่สิ่งที่น่าสนใจมันอยู่ที่... ณ ศตวรรษนี้มันเกิดแฟนตาซีอย่างงี้ขึ้นมาได้ และมันยังขายดิบขายดีตั้งแต่ตอนที่เป็นนิยายจนคนเอามาสร้างหนังแล้วก็เป็นที่ฮือฮามากจนอิฉันต้องเอามานั่งเขียนบ่นให้คุณอ่านอยู่นี่แหละค่ะ
ความเป็นจริงในทางประวัติศาสตร์วัฒนธรรมก็คือนับตั้งแต่คนจีนกระจายไปทั่วโลกจากการค้ากุลีในศตวรรษที่ 19 นั้นมันก็มีแฟนตาซีเกี่ยวกับความรักของคนจีนโพ้นทะเลมาโดยตลอด มีคนผลิตเรื่องราวความรักน้ำเน่าระหว่างคนจีนจากดินแดนบรรพชนหรือ the old country ณ แผ่นดินใหญ่กับคนเชื้อสายจีนที่ไปเกิดและเติบโตหรือประสบความสำเร็จในโลกตะวันตก ทั้งที่ เคลมว่าเป็นเรื่องจริงในประวัติศาสตร์และเรื่องที่แต่งขึ้นมาเป็นนิยายรักระดับ best seller ตั้งแต่สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2
เริ่มจากเรื่องจริงที่หลายๆ คนพยายามเอามาใส่สีตีไข่ขายเป็นนิยายเพราะมันสนุกเหลือเกินก็คือตำนานความรักกับการเมืองระหว่าง 2 ประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐจีน คือ ซุน ยัดเซ็น กับ เจียง ไคเช็ก กับลูกสาวตระกูลซ่ง 2 คนคือ ซ่ง ชิงหลิง (มาดามซุน ยัดเซ็น) และ ซ่ง เหม่ยหลิง (มาดาเจียง ไคเช็ก) ลูกสาวตระกูลซ่งนี้เป็นที่หมายปองของคนมากมายเพราะเป็นลูกสาวของ ชาร์ลี ซุง (ซ่ง ย่าวหรู) ซึ่งไปสร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นเศรษฐีและหมอสอนศาสนาคริสเตียนอยู่ที่สหรัฐอเมริกา และย้ายกลับมาอยู่ที่เซี่ยงไฮ้เพื่อสนับสนุนการปฏิวัติเป็นรุ่นแรกๆ
ลูกสาวตระกูลซ่งทุกคนก็ได้ไปเรียนหนังสือที่วิทยาลัยหญิงล้วนชั้นนำของสหรัฐอเมริกาและเป็นผู้มีความสามารถสูงยิ่งเหมาะกับจะเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งของจีนสมัยใหม่เป็นที่ยิ่ง แม้แต่ตัวซุน ยัดเซ็นเองก็ขายความที่เคยได้ไปเรียนหนังสือและใช้ชีวิตอยู่ในชุมชนชาวจีนที่ฮาวายอยู่ตลอดเวลา ความที่ได้ไปอยู่ “อเมริกา” ตอนเด็กเป็นสัญลักษณ์ของความหัวก้าวหน้า ความไฮโซ และคุณค่าที่หญิงสาวที่เด็กกว่าตัวเองกว่ายี่สิบปีอย่าง ซ่ง ชิงหลิง นั้นคู่ควรที่สุดแล้วที่จะได้มาเป็นผัว
นอกจากนี้ก็มีนิยายคลาสสิกของ จาง อ้ายหลิง (ไอลีน ชาง) เรื่อง Love in a Fallen City (傾城之戀) ซึ่งตีพิมพ์ออกมาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 จะสิ้นสุดลงเพียง 2 ปี และถูกเอาไปทำเป็นภาพยนตร์คลาสสิกชื่อเดียวกับนิยายที่มีโจวเหวินฟะเป็นพระเอกในปี 2527 และทำเป็นซีรีส์ทีวีอีกเมื่อปี 2552 นี้เองเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักระหว่างแม่ม่ายหย่าผัวชาวจีนแผ่นดินใหญ่ (ซึ่งโดนครอบครัวรังเกียจ เพราะการหย่าผัวถือเป็นอนันตริยกรรมของหญิงจีนยุคก่อนปฏิวัติคอมมิวนิสต์เป็นอย่างยิ่ง) กับหนุ่มจีนโพ้นทะเลซึ่งเกิดและโตที่อังกฤษ หล่อและรวยมากแต่กลับมาตามหารักแท้ยังดินแดนบรรพชน (เพื่ออะไรก็ไม่รู้) เรื่องทั้งเรื่องก็เป็นความเล่นเกมกันไปมาระหว่างหนุ่มผู้ตามหารักแท้ กับสาวที่อยากแต่งงานเพื่อลบคำครหา (ตามวัฒนธรรมจีนแบบจารีต ผู้หญิงไม่มีผัวนี่เรื่องใหญ่นะคะ ดังที่เคยได้กล่าวมาแล้ว เพราะตายไปจะไม่มีที่วางป้ายวิญญาณ เดี๋ยวจะต้องไปหิวโซในปรโลกอีก น่ากลัวมากจริงๆ) จนในที่สุดต้องรอให้ญี่ปุ่นมาบุกฮ่องกงและสองคนเกือบตายเพราะเครื่องบินทิ้งระเบิดของญี่ปุ่น คือต้องให้โลกแทบจะล่มสลายและเกือบตายกันทั้งคู่เสียก่อนถึงจะยอมได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการและ happy ending อ่ะค่ะคุณ
ประเด็นความน่าสนใจอยู่ที่ว่า สมัยต้นศตวรรษที่ 20 มาจนสมัยสงครามโลก... และจริงๆ เรื่อยมาจนสิ้นศตวรรษที่แล้วนั่นแหละ เรา (หรือคนที่แต่งนิยายหรือเม้าใต้เตียงนักการเมืองจีน) จินตนาการไม่ออกโนะว่าฝ่ายที่ร่ำรวยอย่างบ้าคลั่งในความรักโพ้นทะเลเนี่ย... มันจะเป็นฝ่ายที่อยู่เมืองจีนหรือเมืองที่คนจีนอยู่เยอะๆ ในเอเชียอย่างสิงคโปร์
คือถ้าคนจีนโพ้นทะเลในเมืองฝรั่งรักกับคนจีนในเมืองจีนหรือคนจีนโพ้นทะเลในเอเชียเนี่ย... จีนเมืองฝรั่งต้องเป็นฝ่ายรวยกว่าแน่นอน และถ้าเราบังเอิญจะพอจินตนาการได้ว่าต่อไปอาจจะมีจีนในเอเชียบางชาติรวยได้ละก็... อิฉันก็ค่อนข้างมั่นใจว่าเราจะไม่นึกถึงคนจีนในสิงคโปร์ว่าจะเป็นจีนชนิดผู้ดีเก่าร่ำรวยมาหลายชั่วอายุคน ฯลฯ ฯลฯ ฯลฯ แบบใน Crazy Rich Asians โถ...คุณขา ประเทศมันเพิ่งตั้งมาได้ยังไม่ร้อยปีมันจะเป็นผู้ดีเก่าไปได้ซักกี่สาแหรกกันเชียวคะ
มันน่ามหัศจรรย์ใจตรงที่เมื่อมาถึงศตวรรษที่ 21 ที่หลายๆ คนพยายามจะบอกว่าเป็นศตวรรษจีนเนี่ย โลกมันกลับตาลปัตรถึงมาถึงจุดที่คนจีนโพ้นทะเลในโลกฝรั่งมีแฟนตาซีอยากจะได้ผัวเป็นคนจีนในเอเชีย แต่ยังเกรงใจไม่เอาผัวจีนแผ่นดินใหญ่เพราะรู้สึกว่าไม่มีวัฒนธรรมมากพอ... เลยไปเอาเจ๊กสิงคโปร์ค่าท่านผู้ชมเพราะมันดู cosmopolitan กว่า มีการศึกษามากกว่า พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่า ฯลฯ
โถ... ดีนะลีกวนยูตายไปแล้วไม่งั้นถ้าอยู่มาจนได้ดู Crazy Rich Asians นี่สงสัยจะได้ขำจนขาดใจตายเป็นแน่แท้ ที่ในที่สุดสิงคโปร์ก็ได้ก้าวขึ้นมาเป็นตัวแทนของอารยธรรมจีนอันน่าพึงปรารถนา และผู้ชายสิงคโปร์ก็อาจจะมีเริ่มมี sex appeal ได้แล้วในหนังฮอลลีวูด... นอกจากจะเป็นวาระแห่งชาติของเพื่อนบ้านอาเซียนของเราแล้วก็ต้องนับว่าเป็นนิมิตหมายอันดีที่ศูนย์กลางของโลกได้เคลื่อนจากตะวันตกกลับสู่ตะวันออกอย่างเต็มภาคภูมิแล้วค่ะ อย่างน้อยก็ according to Hollywood ซึ่งมีผู้ชมมากกว่าบีบีซีและช่องหอยม่วงรวมกันนะคะทั่นผู้ชม