หลังจากทางการจีนได้ดำเนินการยุติการค้าขายงาช้างต่อเนื่องมาเป็นลำดับในปีที่ผ่านมา โดยปิดกิจการค้าขายและโรงงานผลิตภัณฑ์งาช้าในประเทศไป 67 แห่งตั้งแต่เดือนมีนาคม คาดว่าในวันนี้ กิจการเกี่ยวกับการค้างาช้างที่เหลืออยู่ 115 จะต้องปิดตัวลงเช่นกัน
โดยจีนได้ให้พันธะสัญญาว่าวันที่ 31 ธันวาคมนี้เป็นวันที่จีนจะปิดตลาดการค้างาช้างที่ถูกกฎหมายทั้งหมด โรงงานและร้านค้างาช้างที่ได้รับอนุญาตให้ค้างาช้างอย่างถูกกฎหมายต้องยุติการค้าขายงาช้างและสินค้างาช้างทั้งหมดทั่วประเทศ
ข้อมูลจากองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ชี้ว่า โดยเฉลี่ยแล้ว ทุกวันจะมีช้าง 55 ตัวถูกฆ่าจากการล่าเพื่อตอบสนองความต้องการสินค้าจากงาช้างที่เพิ่มมากขึ้นในจีนและประเทศเพื่อนบ้าน การจัดการปิดตลาดงาช้างของจีน ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ชัดเจนมากกว่ามาตรการในประเทศอื่นๆ การตัดสินใจนี้จะพลิกวิกฤติการล่าช้างเพื่อเอางาและการลักลอบซื้อขายงาช้างที่ผิดกฎหมาย รวมทั้งสร้างผลกระทบที่มีนัยยะสำคัญต่อการอนาคตการรอดชีวิตของช้างแอฟริกา
องค์กรเครือข่ายควบคุมการค้าสัตว์ป่า (TRAFFIC) และองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล (WWF) ยังเรียกร้องให้ญี่ปุ่นปิดตลาดค้างาช้างที่ถูกกฎหมาย เพราะผลจาการสำรวจล่าสุดพบว่าญี่ปุ่นยังคงเป็นหนึ่งในประเทศที่มีตลาดค้างาช้างภายในประเทศที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
นอกจากนี้ประเทศในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ก็เป็นเป้าหมายในการเรียกร้องขององค์กรอนุรักษ์ระหว่างประเทศเช่นกัน เพราะการปิดตลาดงาช้างในจีนเป็นก้าวย่างที่ยิ่งใหญ่ แต่อาจเป็นหนทางที่ทำให้ทิศทางของตลาดงาช้างหันเหไปยังประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เวียดนาม กัมพูชา ลาว พม่า และ ไทย ซึ่งเป็นประเทศที่นักท่องเที่ยวชาวจีนจำนวนมากนิยมซื้อผลิตภัณฑ์งาช้าง และผลิตภัณฑ์จากสัตว์ป่าอื่นๆ
“ประเทศจีนแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ต่อวิกฤตอันเร่งด่วนนี้ เราหวังว่าจีนจะร่วมมือกับเราในการเรียกร้องให้ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลาว ไทย พม่าและเวียดนามในการดำเนินการตามข้อเรียกร้องนี้เพื่อปิดตลาดค้างาช้างที่ถูกกฎหมายโดยทันที ดร. เฟรด ควาเม่ คูม่าร์ (Dr. Fred Kwame Kumah) ผู้อำนวยการองค์การกองทุนสัตว์ป่าโลกสากล สำนักงานแอฟริกา กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง