วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซียลงนามผ่านกฎหมายเพิ่มโทษให้กับชายชาวรัสเซียที่ 'หนีทหาร' จากคำสั่งระดมกำลังพล โดยการเพิ่มโทษสูงสุดเป็นการจำคุก 10 ปี และหากเป็นกรณีการหนีทหารในช่วงเวลาของสงคราม บุคคลที่ฝ่าฝืนมีสิทธิ์รับโทษสูงสุด 15 ปีเต็ม โดยเป็นการเพิ่มความผิดว่าด้วย "การระดมพล กฎอัยการศึก และสงคราม" เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายอาญาของรัสเซีย
"ผมไม่อยากตายเพื่อความทะเยอทะยานของคนๆ เดียว ผมไม่ต้องการสงคราม" คิริล พนักงานด้าน IT ลูกครึ่งรัสเซียยูเครนในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กผู้ไม่ประสงค์เปิดเผยนามสกุลกล่าวกับ CNN
คิริลเล่าว่าเขาได้รับทราบว่าถูกเรียกตัวเข้ากองทัพในคำสั่งระดมพลของปูตินขณะที่คิริลกำลังพักผ่อนอยู่ที่ประเทศตุรกี ภรรยาและลูกของเขาตัดสินใจเดินทางกลับเข้าไปในรัสเซียโดยที่ตัวของคิริลยังคงอยู่ในตุรกีต่อไป "ถ้าผมถูกสั่งให้ไปสงคราม ผมไม่รู้ว่าจะมีหน้าไปบอกกับชาวยูเครนว่าอย่างไร"
บรรยากาศความตึงเครียดยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องท่ามกลางสถานการณ์ที่ผู้คนในรัสเซียพยายามหนีออกนอกประเทศ การเดินทางด้วยรถยนต์เพื่อออกจากรัสเซียไปทางพรมแดนยังมีความหนาแน่นอย่างต่อเนื่อง
คนจากรัสเซียสามารถออกนอกประเทศทางพรมแดนอดีตชาติสมาชิกโซเวียตอย่างอาร์เมเนีย คาซัคสถาน และจอร์เจียได้เท่านั้น CNN รายงานว่าผู้คนต้องใช้เวลามากกว่า 24 ชม.กว่าจะสามารถผ่านด่านออกไปได้ หลายคนต้องถูกถามคำถามและสอบสวน ขณะที่ 4 ประเทศของ EU แบนการเดินทางเข้าของชาวรัสเซีย
ในวันที่ 21 ก.ย.ที่ผ่านมา วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย แถลงผ่านการถ่ายทอดสดต่อประชาชนในประเทศว่าตนได้ประกาศการ "ระดมพลบางส่วน" ในประเทศ โดยต้องการกำลังพลที่เป็นชายชาวรัสเซียอายุระหว่าง 18-60 ปีเพิ่ม 300,000 นาย ในขณะที่สงครามยูเครนเดินหน้าเข้าสู่เดือนที่ 7 แล้ว พร้อมกับความพ่ายแพ้ในสมรภูมิที่รัสเซียกำลังประสบมากขึ้นเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามไม่มีความชัดเจนว่าอะไรคือเกณฑ์การระบุว่าใครคือคนที่จะถูกเลือก และคำว่า "บางส่วน" ที่ว่า มีความหมายครอบคลุมอย่างไรกันแน่ ทำให้ชายหนุ่มจำนวนมากเร่งเดินทางออกนอกประเทศ การจราจรที่พรมแดนติดขัด ราคาค่าบัตรโดยสารเที่ยวบินสูงขึ้นราว 7-8 เท่า และผู้คนต่างใช้ช่องทาง Telegram ในการสื่อสารเพื่อส่งข่าวความคืบหน้าล่าสุดให้แก่กัน