ทุกคนสะท้อนตรงกันหมด คำถามหลักของพี่น้องประชาชนในวันนี้คือ “เมื่อไหร่ จะได้กลับไปทำมาหากิน ?”
คำถามนี้เรียบง่าย แต่สะท้อนความรู้สึกคนยากคนจนอย่างลึกซึ้ง
คุญหญิงเขียนเล่าอีกว่าให้พี่น้องประชาชนเลือกระหว่างเงิน 5 พันบาท กับ เปิดการทำมาหากิน
จากการลงพื้นที่ พี่น้องบอกว่า ขอเปิดตลาด ขอเปิดการทำมาหากินจะดีกว่า
พรรคเพื่อไทย จึงเสนอให้รัฐบาล “เร่งเตรียมมาตรการที่จะเปิดเมืองเปิดธุรกิจ และการทำมาหากินของประชาชน”
เพื่อให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจดำเนินการได้ บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชนเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด และเพื่อลดผลกระทบทางเศรษฐกิจที่กำลังเป็นปัญหาใหญ่ของประชาชน
คุญหญิงสุดารัตน์ เรียกมาตรการนี้ว่า “การ Reopening แบบมีข้อบังคับทางสาธารณสุข” ในสัปดาห์หน้า พรรคเพื่อไทยคงต้องขยายความไปอีกว่า มาตรการที่ว่ามีหน้าตาเป็นอย่างไร
พี่น้องประชาชนเดือดร้อนหนักกันขนาดไหนแล้ว ?
คลิปไลฟ์สดจากกระทรวงการคลังสัปดาห์ก่อน สะท้อนได้ชัดเจน
ภาพชุด “วิ่งไปรับเงิน” ฝีมือของ “อำพล ทองเมืองหลวง” PPTV ซึ่งจับภาพประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย และกลุ่มคนไร้บ้านที่อยู่ในสวนลุมพินี กระโดดข้ามแนวรั้วต้นไม้ เพื่อไปรับเงินจากผู้ที่มาแจก สะท้อนได้ชัดเจน
หรืออีกกรณีหนึ่งเมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา เพียงแต่มีการปล่อยข่าวในชุมชน แถวสมุทรปราการ ว่า ประธานสมพร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานเครือไทยซัมมิท และมารดาของ ธนาธร จะไปแจกเงินพี่น้องประชาชนคนละสองพันบาท
ปากต่อปาก ก็มีคนไปต่อแถวเข้าคิวมหาศาล จนถูกวิจารณ์ว่า ไม่สร้างระยะห่างระหว่างบุคคล
เหมือนกับกรณีวัดดอนเมือง แจกข้าวสารอาหารแห้ง ที่พี่น้องประชาชนต่อแถวยาวเป็นพันคน จนถูกวิจารณ์ทำนองเดียวกันว่า ไม่สร้างระยะห่างระหว่างบุคคล
ไม่สร้างระยะห่างก็เรื่องหนึ่ง
แต่พี่น้องประชาชนออกไปต่อแถวยาวเหยียดเช่นนี้ สะท้อนถึงความรู้สึกอย่างไรอยู่นั้น ผู้นำประเทศต้องสัมผัส ต้องเข้าใจปรากฏการณ์นี้ให้ได้!!
ทว่าแทนที่จะได้เห็นมาตรการ ช่วยเหลือ และเยียวยาพี่น้องประชาชนอย่างเป็นรูปธรรม แบบมีชั้นเชิงยิ่งไปกว่ากรณี เงินห้าพันบาท กลับได้เห็นหนังสือของศูนย์โควิด กระทรวงมหาดไทย แจ้งไปยังผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด ย้ำถึงมาตรการป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด “โดยทำความเข้าใจกับผู้ที่ประสงค์จะบริจาคให้ประสานกับจังหวัดหรืออำเภอหรือองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในพื้นที่ทราบก่อนการแจกจ่ายมอบสิ่งของเพื่อช่วยในการจัดการ รวมทั้งประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนถือปฏิบัติตามหลักการในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค...โดยเฉพาะการเว้นระยะห่างทางสังคมอย่างเคร่งครัด”
หนังสือฉบับนี้ สะท้อนว่า ภาครัฐกำลังคิดอะไรอยู่ ? และวางลำดับในการแก้ไขปัญหาใด ไว้ก่อนหรือหลัง ?
ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือเซ็นทรัล ยังมีหนังสือแจ้งไปยังคู่ค้าแล้วว่า ขอแจ้งการเตรียมการเปิดให้บริการห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ตามที่คาดว่าจะเปิดบริการในวันที่ 1 พฤษภาคม 2563 เวลาเปิด–ปิด สาขาตามปกติของแต่ละสาขา โดยขอให้พนักงานเข้ารายงานตัวที่สาขาในวันที่ 28 เมษายน 2563
เป็นอันว่า ภาคธุรกิจขนาดใหญ่ ได้รับสัญญาณที่ชัดเจนแล้วว่า ในต้นเดือนพฤษภาคม รัฐบาลจะเปิดประเทศ-เปิดธุรกิจการค้า ?
ทุนใหญ่ได้รับสัญญาณเปิดเมือง และมุ่งหน้าทำรายได้ต่อไป ขณะที่คนยากคนจน ยังไม่ได้รับการยืนยัน ถึงมาตรการ ช่วยเหลือ เยียวยา บำบัดทุกข์ บำรุงสุขพี่น้องประชาชนอย่างชัดเจน
ทั้งที่ มาตรการเยียวยาพี่น้องประชาชนในวันนี้ ไม่ใช่แค่เยียวยาเพราะโควิดสิบเก้า!!
คุญหญิงสุดารัตน์ อธิบายไว้ชัด “ความทุกข์ของพี่น้องประชาชนที่รุนแรงและสาหัสมาก เป็นทุกข์ที่สั่งสมมาตั้งแต่ปัญหาภัยแล้ง ฝุ่นควันพิษ วิกฤติเศรษฐกิจ และมาถูกซ้ำเติมอีกระลอกใหญ่ด้วยวิกฤติ COVID-19 ครั้งนี้”
สัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ส.ในแต่ละพื้นที่ของแทบทุกพรรค ออกแจกจ่าย ส่งมอบสิ่งของจำเป็นเพื่อป้องกันโรค และยังชีพให้กับพี่น้องประชาชน
ขณะที่สัปดาห์หน้า “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” แห่งคณะก้าวหน้า จะเปิดตัวห้องตรวจผู้ป่วยเพื่อรับมือโควิดสิบเก้า พร้อมส่งมอบให้โรงพยาบาลทั่วประเทศ ห้องนี้จะเป็นนวัตกรรมที่หวังให้โรงพยาบาลต่างๆ ใช้ในวิกฤติอื่นได้ด้วย
หรือจะเป็นข้อเสนอในทางเศรษฐกิจ 7 ข้อจาก “กรณ์ จาติกวณิช” แห่งพรรคกล้า เช่น ลดราคาสินค้า ทำได้ทันที, ลดค่าส่งไปรษณีย์ 10 กก.แรก หั่นครึ่งราคา, ลดค่าไฟทันที 30% 6 เดือน, ”พักต้น-พักดอก”, เยียวยา 5,000 บาท ครบ 24 ล้านคน
ในวิกฤติเช่นนี้ เราจึงได้เห็นการวิ่งเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนแบบทันท่วงทีของพรรคการเมืองต่างๆ เราจึงได้เห็นการคิดค้นนวัตกรรมในฉบับคณะก้าวหน้า ไปจนถึงได้เห็นข้อเสนอทางเศรษฐกิจที่น่ารับฟังจากพรรคกล้า
ทว่า เราได้เห็นอะไรจากรัฐบาล ?
“สิ่งที่ผมจะทำในช่วงสัปดาห์ข้างหน้า ประการแรก คือผมจะออกจดหมายเปิดผนึกถึงมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย 20 คน ขอให้เขาเหล่านั้นได้บอกผมว่าในฐานะที่เขาเป็นผู้อาวุโสของสังคม เขาจะร่วมมือกันกับเราอย่างไร และเขาจะลงมือช่วยเหลือประเทศไทยของเราให้มากขึ้น ได้อย่างไรบ้าง มหาเศรษฐีของประเทศไทยทั้งหลายล้วนมีอิทธิพลอย่างมากต่อเศรษฐกิจของประเทศ และถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลก
ผมขอให้ท่านได้มีบทบาทสำคัญในการร่วมกันช่วยเหลือประเทศ และร่วมเป็นทีมประเทศไทยด้วยกันกับเรา ผมเข้าใจและซาบซึ้งที่หลายคนได้ลงมือทำไปแล้วหลายเรื่อง แต่ผมต้องการให้ทุกคนทำเพิ่มเติมมากกว่าที่ได้ทำไป ผมรู้ว่าทุกคนต่างก็เต็มใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่ประเทศต้องการความช่วยเหลือ อย่างมากที่สุด เพราะความเดือดร้อนของคนไทยคือความเจ็บปวดของท่านด้วย ผมขอให้ทุกคนได้แบ่งปันความสามารถ และความฉลาดหลักแหลม รวมทั้งมุมมองอันมีวิสัยทัศน์ของพวกท่าน พร้อมกับใช้องค์กรที่มีศักยภาพสูงของท่านมาช่วยกันจัดการกับวิกฤตที่เรากำลังเผชิญอยู่ในวันนี้”
จะอ่านคำแถลงนี้ว่า นายกรัฐมนตรีต้องการบูรณาการความร่วมมือก็ได้ หรือจะอ่านคำแถลงนี้ว่า จนมุม หรือ ไร้วิสัยทัศน์ในการแก้ไขวิกฤติการณ์ครั้งนี้แล้วก็ได้
ท่ามกลางวิกฤติที่ประชาชนถามดังๆ ว่า “เมื่อไหร่ จะได้กลับไปทำมาหากิน ?” คำถามนี้ ไม่ใช่แค่ถามไถ่ถึงเงื่อนเวลา แต่ยังเป็นคำถามที่สะท้อนว่า พวกเขาไม่รอแล้ว การเยียวยา การช่วยเหลือ ที่มาช้า และมาไม่ชัดเจน แต่ขอเพียงอย่างเดียวให้เปิดการทำมาหากินแบบมีข้อบังคับทางสาธารณสุข เพราะเมื่อพึ่งพารัฐไม่ได้ ก็ขอพึ่งพาตัวเอง สู้ไปข้างหน้าก็แล้วกัน!!