ไม่พบผลการค้นหา
ศาลคดีเขมรแดงที่มีสหประชาชาติให้การสนับสนุน ปฏิเสธคำร้องอุทธรณ์โทษจำคุกตลอดชีวิตของ เขียว สัมพัน อดีตผู้นำเขมรแดงคนสุดท้ายที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากระบอบการปกครองคอมมิวนิสต์ของ พล พต ล่มสลายลงเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว

องค์ชุมนุมชำระวิสามัญแห่งตุลาการกัมพูชา (ECCC) ได้ปฏิเสธคำร้องอุทธรณ์ของ เขียว สัมพัน ในวัย 91 ปี หลังจาก เขียว สัมพัน ถูกตัดสินเมื่อปี 2561 ที่ผ่านมาว่า เขียว สัมพัน มีความผิดตามข้อหาการก่ออาชญากรรมต่อมวลมนุษยชาติ การละเมิดอนุสัญญาเจนีวา ตลอดจนการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชนกลุ่มน้อยในเวียดนาม 

ประชาชนราว 1.5 ถึง 2 ล้านคน ถูกฆ่าตายภายใต้การปกครองของระบอบเขมรแดงคอมมิวนิสต์ ผ่านการประหารชีวิตหมู่ ภาวะอดอยาก และการใช้แรงงานทาส นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์หายนะต่อมวลมนุษยชาติที่รุนแรงที่สุดในช่วงศตวรรษที่ 20 โดยในช่วงที่ระบอบเขมรแดงหลุดจากอำนาจไปในปี 2522 มีประชากรกว่า 25% ของกัมพูชาเสียชีวิตลงจากฝีมือของคอมมิวนิสต์เขมรแดง

ยังมีการประมาณการอีกว่าชนกลุ่มน้อยราว 20,000 คน ในเวียดนาม เช่นเดียวกันกับกลุ่มชาวจามมุสลิมอีก 100,000 ถึง 500,000 คนที่เสียชีวิตจากการถูกสังหารโดยเขมรแดง 

คง สริม ประธานคณะตุลาการสูงสุดของศาลคดีเขมรแดงระบุว่า คดีของ เขียว สัมพัน “เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์อันเลวร้ายที่สุดบางเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาซึ่งน่าเศร้าและหายนะที่สุดช่วงหนึ่ง” ภายใต้ระบอบการปกครองของเขมรแดง ศาลคดีเขมรแดงรับฟังคำร้องว่า “พลเรือนถูกปฏิเสธเสรีภาพขั้นพื้นฐาน และอยู่ภายใต้การกระทำอันทารุณรุนแรงอย่างเป็นกว้างขวาง วัฒนธรรมแห่งความกลัวมีชัยชนะผ่านการสังหารหมู่ การทรมาน ความรุนแรง การกดขี่ข่มเหง การบังคับแต่งงาน การบังคับใช้แรงงาน และการบังคับบุคคลให้สูญหาย และการปฏิบัติที่ไร้มนุษยธรรมอื่นๆ”

เขียว สัมพัน ได้ฟังการพิจารณาคดีในศาลผ่านหูฟังคู่หนึ่ง ใบหน้าของเขาถูกปิดด้วยหน้ากากอนามัย เขากล่าวหาว่าคำพิพากษาของศาลมีข้อผิดพลาดประมาณ 1,824 จุด ตั้งแต่ข้อผิดพลาดในการดำเนินการ ไปจนถึงข้อกล่าวหาที่เต็มไปด้วยอคติ คำร้องอุทธรณ์ของ เขียว สัมพัน ถูกปฏิเสธ และศาลได้สั่งจำคุกอดีตผู้นำเขมรแดงคนสุดท้ายตลอดชีวิต

ศาลซึ่งขณะนี้ได้สรุปคดีของตนไปแล้ว ได้จัดให้มีพื้นที่สำหรับการฟื้นฟูระดับชาติ เช่นเดียวกันกับการมอบความยุติธรรมคืนให้แก่เหยื่อ แต่ยังมีผู้วิพากษ์วิจารณ์ว่ากระบวนการเยียวยาเป็นไปด้วยความล่าช้า เสียค่าใช้จ่ายมาก และความเปราะบางต่อการแทรกแซงจากรัฐบาลของฮุนเซน ทั้งนี้ ผู้กระทำผิดคนสำคัญได้เสียชีวิตไปแล้วก่อนหน้านี้ ก่อนที่จะได้นำตัวมาเผชิญหน้ากับความยุติธรรม รวมถึง “พี่ชายหมายเลขหนึ่ง” อย่าง พล พต ซึ่งเสียชีวิตในปี 2541

ศาลคดีเขมรแดง ซึ่งก่อตั้งขึ้นในปี 2540 ซึ่งดำเนินการพิจารณาคดีโดยผู้พิพากษาชาวกัมพูชาและผู้พิพากษาต่างชาติ ใช้งบประมาณไปมากกว่า 330 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาท) โดยการพิจารณาคดีดังกล่าวนำไปสู่การตัดสินลงโทษ 3 จำเลย ได้แก่ เขียว สัมพัน, นวน เจีย รองผู้บัญชาการของ พล พต และ คัง เค็ก เอียว หรือที่รู้จักในชื่อสหายดัชช์ หัวหน้าเรือนจำ S-21 อันเลื่องชื่อ โดย 2 คนหลังเสียชีวิตไปก่อนหน้านี้แล้ว เหลือเพียงแต่ เขียว สัมพัน ที่ยังมีชีวิตอยู่ในวัย 91 ปี

“มันไม่ได้มีการประสบความสำเร็จ ในการจัดการกับการลงโทษอาชญากรรมการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์… ฉันอยากจะถามว่าอะไรถึงจะทำให้เพียงพอ?” ยุก ชาง ผู้อำนวยการบริหารของศูนย์เอกสารกัมพูชา และผู้รอดชีวิตจากทุ่งสังหารของเขมรแดงกล่าว โดยแม้ว่าการพิจารณาคดีของศาลจะสิ้นสุดลงแล้ว แต่ประวัติศาสตร์ความเจ็บช้ำจะยังคงดำเนินต่อไป โดยเหยื่อทุ่งสังหารได้เรียกร้องให้นำบทเรียนจากสิ่งที่เกิดขึ้นโดยเขมรแดงมาใส่ในตำราประวัติศาสตร์ เพื่อให้กัมพูชาและประชาคมโลกตระหนักถึงความร้ายแรงของเหตุการณ์ดังกล่าว

เขียว สัมพัน ถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต เมื่อปี 2561 โทษฐานการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์และการก่ออาชญากรรมอื่นๆ พร้อมกันกับ นวน เจีย ซึ่งเสียชีวิตไปเมื่อปี 2562 โดยคำพิพากษาในปีนั้น ศาลชี้ว่า เขียว สัมพัน “ส่งเสริม ปลุกระดม และสร้างความชอบธรรม” ให้กับนโยบายอาชญากรรม ที่นำไปสู่การเสียชีวิตของพลเรือน “ในวงกว้าง” รวมถึงผู้คนนับล้านที่ถูกบังคับให้เข้าไปในค่ายแรงงาน เพื่อสร้างเขื่อนและสะพาน และการทำลายล้างครั้งใหญ่ในเวียดนาม พระสงฆ์ถูกบังคับให้สึก ในขณะที่ชาวมุสลิมถูกบังคับให้รับประทานเนื้อหมู

ทั้ง เขียว สัมพัน และ นวน เจีย ได้รับโทษจำคุกตลอดชีวิต จากข้อหาก่ออาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการบังคับให้ประชาชอพยพออกจากกรุงพนมเปญในเดือน เม.ย. 2518 โดยชาวเมืองถูกนำตัวไปยังค่ายแรงงานแถบชนบท ซึ่งพวกเขาต้องเผชิญกับการใช้แรงงานหนัก ความอดอยาก และโรคภัยไข้เจ็บ

ในส่วนของ คัง เค็ก เอียว ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลเรือนจำ S-21 ซึ่งมีผู้ถูกทรมานและสังหารประมาณ 18,000 คน ถูกตัดสินจำคุก 35 ปีเมื่อปี 2553 ก่อนที่ คัง เค็ก เอียว จะเสียชีวิตลงในเรือนจำเมื่อปี 2563 

มิน ยู ฮาห์ รองผู้อำนวยการประจำภูมิภาคของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลกล่าวว่า คำตัดสินของศาลในวันนี้ (22 ก.ย.) “ควรเป็นเครื่องเตือนใจอีกอย่างหนึ่งว่า ความรับผิดชอบต่ออาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุดไม่มีวันหมดอายุ” ก่อนกล่าวเสริมว่า “ศาลทำหน้าที่เป็นเวทีสำคัญสำหรับการอภิปรายสาธารณะ เกี่ยวกับยุคสมัยการสังหารของเขมรแดง และเป็นสถานที่ที่สามารถได้ยิน บันทึก และเผยแพร่เสียงของเหยื่อได้” มิน ยู ฮาห์ กล่าว พร้อมระบุเสริมว่างานสนับสนุนเหยื่อและผู้รอดชีวิตยังคงไม่แล้วเสร็จ

“การลอยนวลพ้นผิดจากการละเมิดสิทธิมนุษยชน ยังคงเป็นปัญหาร้ายแรงในกัมพูชาในปัจจุบัน และหากทางการพยายามรักษากฎหมายระหว่างประเทศและสิทธิมนุษยชน พวกเขาต้องรับประกันว่าระบบศาลในประเทศของตนมีความเป็นอิสระ เป็นกลาง และสามารถให้ความยุติธรรมในลักษณะของสังคมกัมพูชามากกว่าที่จะเป็นการให้ข้อยกเว้น” มิน ยู ฮาห์ กล่าว


ที่มา:

https://www.theguardian.com/world/2022/sep/22/khmer-rouge-tribunal-cambodia-court-rule-genocide-appeal-last-surviving-leader-khieu-samphan?CMP=Share_iOSApp_Other&fbclid=IwAR1P7o4PGgplZwPQV5IHx8LTpQjcvKbcnoprI5LoE5Dz6YetHfiv_F4MNek