จากสภาพอากาศที่ร้อนจัดทั่วทั้ง จ.ขอนแก่น อุณหภูมิทะลุ 40 องศาเซลเซียส ทำให้กลุ่มเกษตรกรผู้ปลูกผักปลอดสารพิษ จำเป็นต้องจัดระบบการรดน้ำของแปลงผักทั้งหมดเพื่อให้ผักนั้นได้ออกผลผลิตและสามารถที่จะสู้กับสภาพอากาศที่ร้อนจัดได้และออกผลผลิตได้ทันต่อความต้องการของผู้บริโภค โดยเฉพาะที่ “ฮักผักฟาร์ม” ฟาร์มจำหน่ายปลอดสารพิษรายใหญ่ของ จ.ขอนแก่น ที่เกษตรกรต้องจัดเวรกันรดน้ำภายในโรงปลูกผักทั้ง 3 แห่งกันตลอดทั้งวัน เพื่อที่จะเติมน้ำและละอองน้ำเข้าไปภายในโรงปลูกผัก ขณะที่ผักบางชนิดที่ทนกับสภาพความร้อนไม่ไหวก็ทยอยยืนต้นตาย จำนวนมาก
นายโกศล มิ่งโอโล เจ้าของฮักผักฟาร์มขอนแก่น กล่าวว่า ในช่วงเดือน เม.ย.ถึงช่วงกลางเดือน มิ.ย. จะเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศที่ร้อนจัดโดยที่ในปีนี้สภาพอากาศนั้นร้อนผิดปกติบางวันทะลุ 45 องศาเซลเซียสในช่วงเวลากลางวัน ซึ่งส่งผลกระทบต่อโรงปลูกผักปลอดสารพิษของฟาร์มที่ทำไว้ทั้งหมด 3 หลัง อย่างมาก เพราะนอกจากผักบางส่วนทยอยยืนต้นตายจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด บางส่วนยังคงออกผลผลิตได้อย่างไม่เต็มที่หรือที่เรียกว่าต้นไม่อิ่มและไม่อวบ บางต้นแคระแกรน ในกลุ่มคะน้าและกวางตุ้ง
ที่ฟาร์มของเรานั้นมีโรงปลูกผักทั้งหมด 3 หลัง ซึ่งจะสามารถผลิตผักปลอดสารพิษ ประเภทกรีนโอ๊ค,เรดโอ๊ค,เบบี้คอร์ส,คะน้าฮ่องกง,กวางตุ้งดอกพันธ์ฮ่องกงและกวางตุ้งฮ่องเต้ ซึ่งหากปลูกเต็มพื้นที่แล้วจะตกอยู่ที่โรงปลูกหลังละ 7,860 ต้น แต่ช่วงหน้าร้อนแบบนี้ต้องสลับกันปลูกตามแต่ละประเภท โดยกลุ่มมะเขือเทศราชินีนั้นยืนต้นตายไปแล้วทั้งแปลง ทำให้ขณะนี้มุ่งการผลิตไปที่กลุ่มผักปลอดสารพิษที่เป็นที่ต้องการของตลาด เพราะช่วงหน้าร้อนและหน้าแล้งทุกปีผักจะขาดตลาด ในขณะที่ยอดการสั่งซื้อยังคงคงเดิม อย่างเช่นแปลงเรดโอ๊คและกรีนโอ๊คนั้นขณะนี้ปลูกได้แล้ว 15 วัน คงเหลือระยะการปลูกอีก 30 วัน เราต้องดูแลให้ดีที่สุด ซึ่งเมื่อครบกำหนดการปลูกแล้วก็ต้องตัดไปจำหน่ายแม้ต้นจะไม่สวยงาม หรือไม่อวบ ไม่อิ่มยังไงก็ต้องตัด เพราะลูกค้าติดต่อมาเพื่อขอซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มร้านอาหารและร้านจำหน่ายผักเพื่อสุขภาพ
นายโกศล กล่าวต่ออีกว่า วิธีที่แก้ไขและประคองผักปลอดสารพิษให้ผ่านช่วงหน้าร้อนนี้ไปได้ คือการจัดระบบน้ำหยดเข้าไปในแปลงผักของโรงเรือนทั้งหมดทุกชั่วโมง รวมทั้งการพ่นละอองน้ำไปในอาคารโรงเรือนและแปลงผักในช่วงเที่ยง และช่วงบ่าย เพื่อไม่ให้ผักนั้นเกิดโรคใบไหม้ ขณะที่การให้น้ำหลักคือช่วงเช้าและช่วงเย็นยังคงต้องดำเนินการเช่นเดิม ขณะที่เดียวกันยังคงจัดเจ้าหน้าที่คอยเดินตรวจสอบสภาพอากาศและสภาพของผักทุกชั่วโมง ซึ่งหากพบว่าใบเริ่มเหี่ยวแห้งก็ให้พ่นละอองน้ำและรดน้ำลงในแปลงผักทันที
อย่างไรก็ตามชุดแรกที่เตรียมจะตัดส่งจำหน่ายนั้นคือในวันที่ 25 พ.ค.ที่จะถึงนี้ซึ่งลูกค้าที่เดินทางมาดูผักต่างก็ทราบถึงปริมาณผักว่าจะได้ผักไม่ครบ เพราะผลผลิตคงได้ที่ 50% ต่อแปลงที่สามารถเก็บเกี่ยวและนำไปจำหน่ายได้นอกนั้นเสียหายจากสภาพอากาศที่ร้อนจัด ซึ่งเมื่อผลผลิตออกสู่ตลาดน้อยก็ส่งผลต่อราคาในกลุ่มผักปลอดสารพิษที่จะต้องปรับขึ้น โดยราคาจำหน่ายของฟาร์มนั้นอิงกับราคาท้องตลาดทั่วไป คือกลุ่มเรดโอ๊ค,กรีนโอ๊คและเบบี้คอร์ส อยู่ที่กิโลกรัมละ 120 บาท ปรับขึ้นจากช่วงปกติกิโลกรัมละ 100 บาท ส่วนมะเขือเทศราชินีนั้นไม่มีจำหน่ายเพราะยืนต้นตายยกแปลง ขณะที่กลุ่มคะน้าและกวางตุ้งอยู่ที่กิโลกรัมละ 80 บาท
อย่างไรก็ตามคาดว่าหลังสิ้นสุดฤดูร้อนและเข้าสู่ช่วงฤดูฝนต่อเนื่องสู่ฤดูหนาว ผลผลิตของฟาร์มจะกลับมาให้ผลผลิตที่สมบูรณ์ อีกครั้งและที่สำคัญคือปลอดสารพิษทุกต้น