วันที่ 5 ก.พ. 67 ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อและรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง ผลสำรวจ Leadership Poll มหาวิทยาลัยรังสิต ในประเด็นความคิดเห็นต่อนโยบาย "เงินหมื่นดิจิทัล" ของรัฐบาลว่า 62.20% ไม่เห็นด้วยกับนโยบายดังกล่าว และเห็นควรให้ระงับการดำเนินการ
ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า การสำรวจ Leadership Poll ครั้งนี้ มีการเก็บข้อมูลทั้งสิ้นเพียง 543 ตัวอย่าง ด้วยวิธีคัดเลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเจาะจง (Purposive Sampling) ใน 4 กลุ่ม ได้แก่
1. ผู้นำภาคธุรกิจ: ตัวแทนนักธุรกิจที่ประกอบธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่
2.ภาคประชาสังคม: ตัวแทนภาคประชาสังคม NGO และมูลนิธิต่างๆ ในประเทศไทย
3 ภาคการเมือง: นักการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่น นายกเทศมนตรี รองนายกเทศมนตรี นายกและรองนายก อบจ. นายกและรองนายก อบต. ในทุกภูมิภาคของประเทศ
4.ภาคการศึกษา: นักวิชาการ อาจารย์มหาวิทยาลัยผู้ดำรงตำแหน่งคณบดี รองคณบดี ในมหาวิทยาลัยรัฐ และมหาวิทยาลัยเอกชน
อย่างไรก็ตาม กลุ่มเป้าหมายของโพลข้างต้น ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมายเดียวกัน กับประชาชนที่เป็นเป้าหมายหลักของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet และเป็นเป้าหมายสำคัญจากฐานราก ที่รัฐบาลเพื่อไทยให้คำมั่นสัญญาจะเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรง และกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งระบบ
ดังที่ เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เคยแถลงผลสรุปการประชุมคณะกรรมการนโยบายฯ เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2566 ว่า “นโยบายกระเป๋าเงินดิจิทัล คือการอัดฉีดเงินเข้าไปในระบบ ให้เข้าถึงทุกพื้นที่ เพื่อให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยหมุนเวียนภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เป็นการลงทุนที่มอบสิทธิและอำนาจให้กับประชาชนช่วยกันกอบกู้เศรษฐกิจ ซึ่งจะก่อให้เกิดการลงทุนในภาคประชาชน ทั้งการรวมเงินในครัวเรือนเพื่อประกอบอาชีพ การซื้อ-ขายสินค้าของพ่อค้าแม่ค้า ไปจนถึงการสั่งผลิตสินค้าในโรงงาน SME ไปจนถึงโรงงานขนาดใหญ่”
ลิณธิภรณ์ ย้ำถึงความสำคัญของสภาพการณ์ทางเศรษฐกิจปัจจุบัน ที่จำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้นโดยเฉพาะว่า เมื่อวันที่ 24 มกราคม 2567 สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) แถลงปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยในปี 2566 ลงเหลือโตเพียง 1.8% และล่าสุดมีรายงานว่า โฆษกธนาคารแห่งประเทศไทย ระบุว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2566 ลง จากเดิมที่เคยคาดการณ์ไว้ 2.4% แต่ทั้งนี้ ยังไม่สามารถระบุได้ว่าจะต่ำกว่า 2% หรือไม่
มากไปกว่านั้น สำหรับตัวเลขการส่งออกปีนี้นั้น นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยเมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2566 ว่า เบื้องต้นมีการประเมินเป้าหมายส่งออกไทยปี 2567 ว่าจะมีการขยายตัวที่ร้อยละ 1.99% มูลค่า 287,754 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 10 ล้านล้านบาท สอดคล้องกับที่ภาคเอกชน ประเมินในฝั่งการผลิต คาดการณ์ว่าจะขยายตัวร้อยละ 0-2
ดังนั้น ตัวเลขส่งออกของไทยในปีนี้จึงถือว่าเติบโต น้อยกว่าสิ้นปีที่ผ่านมา ดังที่ นายกีรติ รัชโน ปลัดกระทรวงพาณิชย์ สรุปมูลค่าการส่งออก ณ เดือนธันวาคม 2566 ที่กลับมาขยายตัวได้มากถึง 4.7% มูลค่า 22,791 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 7.95 แสนล้านบาท ส่งผลภาพรวมทั้งปี ประเทศไทยขาดดุลการค้า อยู่ที่ 5,192 ล้านเหรียญสหรัฐ
“ตัวเลขจากหน่วยงานทางการเงินและการคลังเหล่านี้ ทั้งแบงก์ชาติ สศค. และกระทรวงพาณิชย์ต่างหาก ที่สะท้อนภาพจริงที่พี่น้องประชาชน 60 กว่าล้านคนกำลังประสบทั่วประเทศ ไม่ใช่เพียงกลุ่มตัวอย่างของการสำรวจเพียง 5 ร้อยกว่าคน ดิฉันขอย้ำว่า วิกฤตเศรษฐกิจที่ต่อเนื่องมาจนถึงปีนี้ คือสิ่งที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยเล็งเห็นและตระหนักอย่างดียิ่ง เราจึงให้คำมั่นสัญญา และดำเนินตามความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะแก้ไขวิกฤตเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างดิจิทัลวอลเล็ต 10,000 บาท” ลิณธิภรณ์ กล่าว