นพ.บัญชา ค้าของ รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า เนื่องจากวันที่ 13 เม.ย.เป็นวันสงกรานต์ และวันผู้สูงอายุแห่งชาติ อีกทั้ง 14 เมษายน เป็นวันครอบครัวซึ่งถือเป็นวันที่ลูกหลานกลับมาเยี่ยมบ้าน เยี่ยมพ่อแม่ ปู่ย่า ตายาย อยู่กันแบบอบอุ่นพร้อมหน้าพร้อมตา จึงขอให้ทุกครอบครัวไทยใช้โอกาสนี้รดน้ำขอพร หรือทำกิจกรรมร่วมกันด้วยการพาผู้สูงอายุไปทำบุญปฏิบัติธรรมที่วัด ชวนทำงานอดิเรก เช่น ปลูกต้นไม้ อ่านหนังสือ เล่นเกมฝึกสมอง เป็นต้น รวมทั้งดูแลตัดเล็บมือ เล็บเท้าให้ผู้สูงอายุในบ้าน เนื่องจากผู้สูงอายุเหล่านี้ อาจมีปัญหาสายตาทำให้ลำบากในการทำกิจกรรมดังกล่าว โดยเป็นการสร้างความสัมพันธ์ภายในครอบครัว
นอกจากนี้ ควรมอบความรักต่อผู้สูงอายุด้วยการกอด จะช่วยเติมความรู้สึกอ้างว้างภายในจิตใจได้เป็นอย่างดี ทำให้ผู้สูงอายุมีภาวะสุขภาพดีขึ้น มีความกระตือรือร้น บรรเทาความเจ็บป่วย ซึมเศร้า ความวิตกกังวล ทำให้ผู้สูงอายุต้องการที่จะมีชีวิตอยู่และรู้สึกว่าคุณภาพชีวิตดีขึ้นบุคคลที่ได้รับการกอดหรือกอดผู้อื่นจะทำให้เกิดการกระตุ้นการทำงานของฮีโมโกลบิน ทำให้การลำเลียงของออกซิเจนไปเลี้ยงเนื้อเยื่อส่วนต่างๆ ให้ทำงานได้อย่างทั่วถึงทำให้สดชื่น มีชีวิตชีวา
“การกอดยังเป็นการกระตุ้นสัมผัสที่จำเป็นอย่างยิ่งต่อร่างกายและจิตใจ ที่ช่วยให้ผู้ถูกกอดรู้สึกอบอุ่นและเป็นสุข ลดความเครียด พ่อแม่ควรกอดลูกทุกวัน เพื่อให้เด็กรับรู้ว่าพ่อแม่รักและหวังดีกับเด็กเสมอ อีกทั้งการอบรมเด็กต้องทำด้วยความรัก ความเข้าใจ และใช้เหตุผล ไม่ควรใช้อารมณ์ บังคับ ฝืนใจ และไม่ดุด่าให้ลูกกลัวและเสียกำลังใจ พ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง คอยให้คำแนะนำ พูดชมเชยเมื่อลูกทำได้ และให้รางวัล ถ้าเขาทำได้ดี ซึ่งรางวัลสำหรับเด็กเล็ก เพียงแค่กอดอย่างอ่อนโยน หอมแก้ม ตบมือให้ เท่านี้เด็กก็ภูมิใจมากแล้ว” รองอธิบดีกรมอนามัย กล่าว
ทั้งนี้ ตามคำแนะนำของเวอร์จิเนีย ซาเทียร์ นักจิตวิทยาครอบครัวที่มีชื่อเสียงระดับโลกชาวแคนาดาที่พบว่าคนเราต้องการการกอดวันละ 4 ครั้ง เพื่อการดำรงชีวิต วันละ 8 ครั้ง เพื่อการดำเนินชีวิต และ 12 ครั้ง เพื่อจิตใจและการเจริญเติบโตของร่างกาย อีกทั้งยังพบว่าการกอดสามารถเยียวยาผู้ป่วยได้นอกเหนือจากการรักษาด้วยวิธีการและยาที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากเป็นการถ่ายทอดความรัก กำลังใจ ความอบอุ่น ความห่วงใยไปสู่ผู้ป่วย ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ป่วยหายเร็วขึ้นและมีกำลังใจสูงขึ้น