อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย กล่าวถึงการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2566 ที่ฝ่ายค้านขู่จะคว่ำ ว่า พรรคภูมิใจไทยไม่มี รับประกันเสียง 65 เสียงของพรรคภูมิใจไทยส่วนกรณีที่ฝ่ายค้านขู่คว่ำตั้งแต่ชั้นรับหลักการนั้น ก็เป็นกระบวนการประชาธิปไตย
เมื่อถามว่า จะไม่รุนแรงจนถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุกับรัฐบาลในสมัยประชุมนี้ ที่จะมีการพิจารณาทั้งเรื่องงบประมาณและการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ใช่หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า การจัดทำงบประมาณไม่ใช่ที่เรื่องรัฐบาลทำ หรือคณะรัฐมนตรี แต่ทุกอย่างเริ่มจากความต้องการของประชาชนผ่านการกลั่นกรองจากข้าราชการประจำ ครม. มีหน้าที่พิจาณาและส่งต่อไปยังสภา
เมื่อถามต่อว่า มองอย่างไรที่ฝ่ายค้านพยายามเล่นเกมการเมืองกับเรื่องงบประมาณ อนุทิน กล่าวว่า ถ้าฝ่ายค้านเห็นว่ารัฐมนตรีคนไหนปฏิบัติหน้าที่ไม่มีประสิทธิภาพ ไม่เหมาะสมหรือมีการทุจริต ควรไปใช้วาระในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไปอภิปรายที่ตัวรัฐมนตรีโดยตรง เพราะเรื่องงบประมาณมีผลต่อการนำงบประมาณมาใช้ ถ้าร่างพ.ร.บ.งบฯ มีปัญหาก็จะมีผลเรื่องการใช้งบต่างๆ เป็นอย่างมาก
ผู้สื่อข่าวถามว่า งบของกระทรวงสาธารณสุขถูกจัดให้อยู่ในลำดับท้ายๆ มีความกังวลหรือไม่ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า เราได้พิจาณาในเรื่องนี้ และยังมีอีกหลายขั้นตอนในขั้นการแปรญัตติ แต่เราก็จะดำเนินการใช้งบที่ได้รับจัดสรรให้เกิดประโยชน์
หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังกล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทยจะพา แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทยและหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ลงพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ซึ่งจะถือเป็นการตีพื้นที่อีสานใต้ของพรรคภูมิใจไทย ว่า ไม่หรอก เพราะขณะนี้เหลือเวลาอีก 9-10 เดือน ซึ่งเป็นเวลาเหมาะสมที่ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องทางการเมืองต้องเริ่มรณรงค์หาเสียงเลือกตั้ง สร้างความนิยมต่อประชาชนเป็นเรื่องปกติ ไม่ใช่เรื่องแปลก อย่าไปมองว่าเป็นพื้นที่ของคนนู้นคนนี้ แต่เป็นพื้นที่ของประชาชน ดังนั้นอยู่ที่การตัดสินใจของประชาชน หากใครมีโอกาสและมีเวลาก็ต้องเร่งลงพื้นที่เพื่อชี้แจงและสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน เพื่อที่จะให้เลือกกลับมาเป็นตัวแทนประชาชน
เมื่อถามย้ำว่า กระแสคนรุ่นใหม่อย่าง แพทองธาร จะปลุกทางอีสานใต้ได้หรือไม่เหมือนอย่างที่ ทักษิณ อดีตนายกฯ เคยทำได้ อนุทิน ระบุว่า ต้องมองเป็นนโยบายของแต่ละพรรคการเมือง เพราะแต่ละพรรคก็มีดี แต่คนที่จะตัดสินใจคือประชาชน ดังนั้นทุกพรรคต้องเร่งสร้างนโยบายที่ประชาชนเห็นแล้วว่า จับต้องได้ พูดแล้วทำ
นอกจากนี้ อนุทิน ยังกล่าวถึงกรณี ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ว่าที่ผู้ว่าฯ กทม. ระบุว่าอย่ามอบการพิจารณาปัญหารถไฟฟ้าสายสีเขียวให้ กทม. นั้น ว่า รัฐบาลโดยกระทรวงคมนาคมได้ให้ความเห็นออกมาอย่างชัดเจนแล้ว ไม่ได้เป็นเรื่องเกมการเมืองใดๆทั้งสิ้น เป็นเรื่องความถูกต้องในการปฏิบัติตามกฎหมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการต่อสัญญาอะไรก็แล้วแต่ และตนก็คิดว่าไม่มีใครโยนปัญหานี้ให้นายชัชชาติ และควรให้เวลาท่านทำการศึกษาที่มาที่ไปของเรื่องนี้ก่อนเพราะว่ายังไม่ได้รับการรับรอง
อย่างไรก็ตามถือเป็นเรื่องที่ ชัชชาติ จะได้ศึกษาเพราะกระทรวงคมนาคม ส่งคำถามไปหลายครั้งแล้วที่ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เคยถาม ก แต่ได้คำตอบ ฮ กลับมา ซึ่ง ชัชชาติ จะได้เข้าไปดูว่า ก คืออะไร ฮ คืออะไร และอะไรคือสิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งตนถือว่าเรื่องตรงนี้ ชัชชาติ คงไม่มีความลำบากยากเย็น เพราะท่านมีฉันทานุมัติจากประชาชน 1.3 ล้านเสียง ก็ต้องคิดถึงประโยชน์ประชาชนเป็นที่ตั้ง กระทรวงคมนาคมยึดตามหลักกฎหมายทุกประการ
เมื่อถามว่า แนวทาวแก้ปัญหารถไฟฟ้าสีเขียวของ ชัชชาติ สอดคลองกับพรรคภูมิใจไทย หรือไม่ อนุทิน กล่าวว่า อะไรที่เป็นประโยชน์ประชาชนและถูกกฎหมายสอดรับกับทุกฝ่าย ซึ่งพวกตนทำงานเร็วและตรงไปตรงมายึดถือประโยชน์ประชาชนและบ้านเมืองเป็นหลัก
ขณะที่ ศักดิ์สยาม ปฏิเสธกล่าวถึงเรื่องการแก้ปัญหารถไฟฟ้าสีเขียวกับ กทม. เพียงระบุสั้นๆ ว่า ขอให้ชัชชาติ รับตำแหน่งก่อน
ส่วนการเตรียมพร้อมเปิดสถานบันเทิง วันที่ 1 มิ.ย.นี้ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ได้กำชับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปหมดแล้ว โดยต้องทำให้บรรยากาศและสถานที่ปลอดภัยซึ่งทุกคนรับทราบหมดแล้ว ส่วนเรื่องไทยแลนด์พาส คนไทยไม่เข้าเงื่อนไขแล้วและคิดว่าถ้าไปสถานการณ์ควบคุมได้ปกติ ก็ต้องยกเลิกไทยแลนด์พาสทั้งหมดเพื่อให้ต่างชาติเข้ามามากขึ้น เศรษฐกิจก็จะดีขึ้นและคนไทยก็ต้องเร่งบูทวัคซีน
เมื่อถามถึงโอกาสการนำร่องพื้นที่บางจังหวัดถอดแมสก์ จะมีปัญหาหรือไม่ รมว.สาธารณสุข กล่าวว่า ถ้าไม่จำเป็นก็ยังไม่ต้องถอดแมสก์ ต่อให้ไม่มีโควิดก็ใส่แมสก์ได้ในที่ชุมชนที่มีการขุมนุมของคนจำนวนมาก ซึ่งการใส่แมสก์เป็นสิ่งที่ดี เรื่องการถอดหรือใส่แมสก์เราก็ประเมินเอา ถ้าคนอยู่เยอะก็ใส่ ถ้าอยู่น้อยและรู้ว่าแต่ละคนเป็นคนใกล้ชิดก็ไม่ต้องใส่