รายงานของสภาตึกระฟ้าและที่อยู่อาศัยในเมือง (CTBUH) ของจีนรายงานว่า ในปีที่2019 มีตึกระฟ้าที่มีความสูงเฉลี่ย 200 เมตรขึ้นไปสร้างเสร็จเพียง 56 ตึก ซึ่งจำนวนดังกล่าวลดลงถึง 38 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับปี 2018 และต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2013 เป็นต้นมา
เดเนียล ซาฟาริก บรรณาธิการของ CTBUH ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงของจีนนั้นมีปัจจัยมาจากการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศที่ส่งผลต่อการสร้างตึกสูง โดยเฉพาะ 2 - 3 ปีที่ผ่านมาโครงการก่อสร้างตึกระฟ้าจำนวนมากถูกยกเลิก
อย่างไรก็ตามภาพรวมของการสร้างตึกระฟ้าทั่วโลกนั้นยังคงเพิ่มขึ้น แต่จำนวนตึกที่เพิ่มขึ้นมานั้นก็ยังมีภาพรวมที่ลดลงจากปีก่อนๆถึง 14 เปอร์เซ็นต์ และจีนยังคงจำนวนถึงที่สูงที่สุดในโลกอยู่ถึง 6 แห่งจาก 10 แห่งที่มีการจัดอันดับ
ทั้งนี้รายงานยังระบุว่า จำนวนตึกระฟ้าภายในจีนอาจเกิดการชะลอตัวจากความต้องการที่มีมากเกินในปัจจุบัน CBRE บริษัทที่ปรึกษาด้านอสังหาริมทรัพย์และการลงทุนระบุว่า จำนวนตึกระฟ้าภายในจีนนั้นมีพื้นที่เหลือเป็นจำนวนมาก อย่างใน เทียนจิน ตึกTianjin CTF Finance Centre ที่สูงถึง 530 เมตรนั้นยังมีพื้นที่สำนักงานให้เช่าว่างถึง 44 เปอร์เซ็นต์
และแม้ว่าในเมืองอื่นๆ ของจีนจะเริ่มชะลอตัวการสร้างตึกระฟ้า แต่เซินเจิ้น เมืองเศรษฐกิจใหม่ทางตอนใต้ของจีนกลับยังมีแนวโน้มที่จะมีการสร้างตึกระฟ้าเพิ่มขึ้น ซึ่งปัจจุบันเซินเจิ้นมีตึกระฟ้าที่สูงกว่า 200 เมตรอยู่ทั้งสิ้น 15 ตึก ซึ่งมากกว่าดูไบที่มี 9 ตึกและนิวยอร์กที่มี 8 ตึก
ซาฟาริกกล่าวว่า จำนวนตึกระฟ้าในเซินเจิ้นนั้นเป็นสัญญาณที่บ่งบอกให้เห็นถึงสภาพเศรษฐกิจที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วมากกว่าเมืองอื่นๆในจีน ซึ่งตึกระฟ้าในเซินเจิ้นนั้นคิดเป็น 12 เปอร์เซ็นต์ของตึกระฟ้าทั่วโลกที่มีอยู่ในปี 2019
รายงานของ CTBUH สรุปว่า จำนวนตึกระฟ้าที่สร้างเสร็จใหม่ทั่วโลกนั้นเป็นสัญญาณชี้วัดทางด้านการเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจภายในประเทศ ซึ่งในบางภูมิภาคเกิดการชะลอตัวอย่างในจีนเป็นต้น
ที่มา CNN / global construction review