ต่างประเทศ
‘บลิงเคน’ จ่อเยือนจีนสัปดาห์นี้ หลังเลื่อนกำหนดการเดินทางมานาน
ในการเดินทางเยือนที่จะเกิดขึ้นนี้ บลิงเคนจะกลายเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงฝ่ายบริหารของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนแรก ที่เดินทางเยือนจีน โดยกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพุธ (14 มิ.ย.) ว่า กำหนดการเดินทางของบลิงเคนจะเกิดขึ้นระหว่างวันที่ 16-21 มิ.ย.นี้ โดยจะรวมถึงการเดินทางเยือนกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักรด้วย
แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ระบุว่า ในกรุงปักกิ่ง บลิงเคนจะเข้าพบกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจีน เพื่อหารือเกี่ยวกับ "ความสำคัญของการรักษาช่องทางการสื่อสารแบบเปิด" ระหว่างสหรัฐฯ และจีน ทั้งนี้ แถลงการณ์ไม่ได้ระบุว่าบลิงเคนจะเข้าพบเจ้าหน้าที่คนไหนของจีน แถลงการณ์ยังระบุสั้นๆ อีกว่า บลิงเคน “จะหยิบยกประเด็นข้อกังวลระดับทวิภาคี เรื่องระดับโลกและระดับภูมิภาค และความร่วมมือที่เป็นไปได้เกี่ยวกับความท้าทายข้ามชาติที่มีร่วมกัน” ขึ้นมาพูดคุยกับจีนในครั้งนี้
อย่างไรก็ดี เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ กลับไม่ได้คาดหวังถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา หลังจากการเดินทางเยือนจีนของบลิงเคน “เราจะไม่ไปปักกิ่งด้วยความตั้งใจที่จะมีความก้าวหน้า หรือการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในวิธีที่เราปฏิบัติต่อกัน” แดเนียล ไครเตนบริงก์ นักการทูตระดับสูงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก กล่าวกับผู้สื่อข่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันพุธ “เรากำลังมาที่ปักกิ่งด้วยแนวทางที่เป็นจริง มีความมั่นใจ และความปรารถนาอย่างจริงใจ ที่จะจัดการกับแข่งขันของเรา ด้วยวิธีที่มีความรับผิดชอบมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้”
เคิร์ต แคมป์เบล ผู้ประสานงานภาคพื้นอินโด-แปซิฟิกของทำเนียบขาว กล่าวว่า บลิงเคนจะมุ่งเน้นไปที่การส่งต่อ “เป้าหมายหลัก” ของวาระการหารือ แต่ไม่ได้พยายาม “มุ่งหาสิ่งที่สามารถส่งมอบได้ในจำนวนมาก” ทั้งนี้ การบรรลุเป้าหมายเหล่านั้นจะทำให้การสื่อสารระหว่างกองทัพกับกองทัพดีขึ้น ซึ่งจะสามารถจัดการกับประเด็นที่น่ากังวลในช่วงที่ผ่านมาได้ “ผมเชื่อว่ารัฐมนตรีบลิงเคนจะให้การสนับสนุนอย่างยิ่งว่าการสื่อสารเหล่านี้มีความจำเป็น” แคมป์เบลล์กล่าวกับผู้สื่อข่าว “พวกเขามีวุฒิภาวะ มีกองทหารที่แข็งแกร่งที่รู้ว่าจะต้องปฏิสัมพันธ์กันอย่างไร และมีเดิมพันสูงเกินไปที่จะหลีกเลี่ยงสายการสื่อสารที่สำคัญเหล่านี้”
แมทธิว มิลเลอร์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันอังคาร (13 มิ.ย.) ว่า บลิงเคนได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับ ฉินกัง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน โดยเขาเน้นย้ำถึง "ความสำคัญของการรักษาสายสื่อสารแบบเปิด เพื่อจัดการความสัมพันธ์ด้วยความรับผิดชอบ" นอกจากนี้ บลิงเคน ยัง “แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าสหรัฐฯ จะยังคงใช้การเจรจาทางการทูต เพื่อแจ้งข้อกังวลรวมถึงประเด็นความร่วมมือที่มีศักยภาพ” ต่อจีน
จีนใช้น้ำเสียงที่เผชิญหน้ากันมากขึ้นในบทสนทนากับบลิงเคน โดยกล่าวว่าฉินได้เตือนว่าความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้เผชิญกับ “ความยากลำบากและความท้าทายใหม่ๆ” ตั้งแต่ต้นปี และมีความ “ชัดเจนว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบ” ฉินยังกล่าวตามรายงานของกระทรวงต่างประเทศจีนอีกว่า “จีนดูแลและจัดการความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับสหรัฐฯ เสมอตามหลักการของการเคารพซึ่งกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และความร่วมมือแบบได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย ที่เสนอโดยประธานาธิบดีสีจิ้นผิง”
ความตึงเครียดระหว่างสองประเทศ ซึ่งรวมถึงการค้า การจารกรรม การแสดงตนทางทหารในอินโดแปซิฟิก สงครามในยูเครน และอนาคตของไต้หวันที่ปกครองตนเอง กำลังปะทุออกมาอย่างเต็มที่ในเดือน ก.พ. ด้วยการที่บลิงเคนประกาศเลื่อนกำหนดการเดินทางไปยังจีน ในขณะที่จีนได้กล่าวหาว่าสหรัฐฯ เป็นประจำว่ามีความคิดแบบ "สงครามเย็น" ที่อันตราย อย่างไรก็ดี ทั้งสองประเทศได้ทำการทาบทามกัน เพื่อรักษาความตึงเครียดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา และยังได้ขอความร่วมมือในบางเรื่อง โดยเฉพาะประเด็นการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
เมื่อเดือนที่แล้ว เจค ซัลลิแวน ที่ปรึกษาด้านความมั่นคงแห่งชาติของไบเดน ได้จัดการประชุมแบบปิดกับ หวังอี้ นักการทูตอาวุโสของจีนในกรุงเวียนนา โดยสหรัฐฯ ระบุว่าการเจรจาครั้งดังกล่าวนั้น “ตรงไปตรงมา มีสาระสำคัญ และสร้างสรรค์” ในขณะที่สถานเอกอัครราชทูตจีนในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ระบุว่า การเจรจามุ่งเน้นที่ “การขจัดอุปสรรคในความสัมพันธ์จีน-สหรัฐฯ และรักษาความสัมพันธ์ให้มั่นคงจากการเสื่อมถอย” ทั้งนี้ บลิงเคนเคยพบกับอี้ในเดือน ก.พ. ที่การประชุมความมั่นคงมิวนิก
ที่มา:
