ไม่พบผลการค้นหา
สิงคโปร์ผ่านกฎหมายปราบปรามข่าวปลอม แต่นักสิทธิมนุษยชนระบุว่าเป็น ‘หายนะ’ สำหรับเสรีภาพสื่อของสิงคโปร์ เพราะสื่อจำเป็นต้องแก้ไขหรือลบเนื้อหาข่าวที่รัฐบาลระบุว่าเป็น ‘ข่าวปลอม’

รัฐสภาสิงคโปร์เพิ่งผ่านกฎหมายปราบปรามข่าวปลอม เพื่อควบคุมให้สื่อออนไลน์ต่างๆ แก้ไขหรือลบเนื้อหาที่รัฐบาลสิงคโปร์พิจารณาว่าเป็นข้อมูลเท็จ ผู้ฝ่าฝืนอาจถูกลงโทษจำคุก 10 ปีหรือปรับสูงสุด 1 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (23.3 ล้านบาท)

กฎหมายปราบปรามข่าวปลอมนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากกลุ่มนักสิทธิมนุษยชน สื่อมวลชน และบริษัทเทคโนโลยีว่า กฎหมายนี้อาจถูกนำมาใช้กดขี่เสรีภาพสื่อ โดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลและเฟซบุ๊กระบุว่า กฎหมายนี้ให้อำนาจกับรัฐบาลสิงคโปร์มากเกินไปในการตัดสินว่าข้อมูลไหนเป็นจริงหรือเท็จ

ด้านฟิล โรเบิร์ตสัน รองผู้อำนวยการฮิวแมนไรท์วอทช์ประจำภูมิภาคเอเชียกล่าวว่า กฎหมายใหม่เป็น “หายนะ” สำหรับการแสดงความคิดเห็นออนไลน์ของประชาชนชาวสิงคโปร์ และเป็นการทำลายความเป็นอิสระของสำนักข่าวออนไลน์ต่างๆ ด้วย โรเบิร์ตสันยังกล่าวว่า ผู้นำสิงคโปร์ร่างกฎหมายที่จะส่งผลกระทบกับเสรีภาพบนอินเทอร์เน็ตทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และมีแนวโน้มว่าจะทำให้เกิดสงครามข้อมูลรอบใหม่ เนื่องจากพวกเขาพยายามจะจำกัด “ความจริง” ที่แคบลงจากความจริงบนโลกกว้าง

ด้านคณะกรรมการนักนิติศาสตร์สากล (ICJ) องค์กรที่ประกอบไปด้วยผู้พิพากษา ทนายความและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเพื่อเรียกร้องการรักษามาตรฐานสิทธิมนุษยชนทั่วโลกระบุว่า กฎหมายนี้อาจถูกนำไปใช้ละเมิดสิทธิผู้อื่น โดยเฟรเดอริก รอว์สกี ผู้อำนวยการ ICJ ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกระบุว่า บทลงโทษที่รุนแรง ขอบเขตอำนาจที่กว้าง และการไม่มีการปกป้องเสรีภาพในการแสดงออก ถือเป็นความเสี่ยงที่จะมีการนำกฎหมายนี้ไปกดขี่การแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลอย่างเสรี

อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีกระทรวงกฎหมายของสิงโปร์กล่าวต่อรัฐสภาว่า เสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ จากกฎหมายฉบับนี้ เพราะกฎหมายนี้มุ่งเป้าไปที่บอทส์ เกรียนคีย์บอร์ด บัญชีปลอมและอื่นๆ สังคมประชาธิปไตยจะประสบความสำเร็จได้ขึ้นอยู่คนในสังคมที่ได้รับข้อมูล และได้รับข้อมูลที่ไม่ผิด

นอกจากนี้ รัฐบาลสิงคโปร์ยังระบุว่า สิงคโปร์มีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับผลกระทบจากข่าวปลอม เนื่องจากสิงคโปร์เป็นศูนย์กลางการเงินโลก มีประชากรต่างเชื้อชาติศาสนา และประชากรก็สามารถเข้าถึงอินเทอร์เน็ตได้อย่างกว้างขวาง


ที่มา : The Guardian