รัฐสภาญี่ปุ่นมีมติอัดฉีดงบประมาณเพิ่มเติมเพื่อช่วยเหลือระบบเศรษฐกิจระหว่างวิกฤตโรคระบาดเพิ่มอีก 31.9 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 9.2 ล้านล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 12 มิ.ย.ที่ผ่านมา เม็ดเงินดังกล่าวมีเป้าหมายหลักช่วยเหลือด้านการเงินให้กับบริษัทเอกชน อุดหนุนการจ้างงาน และเป็นงบประมาณเพิ่มเติมสำหรับระบบสาธารณสุข
ตามข้อมูลจากกระทรวงการคลังของญี่ปุ่น 1 ใน 3 ของงบประมาณจะถูกจัดสรรเพื่อให้ความช่วยเหลือบริษัทขนาดเล็กที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากโควิด-19 ขณะที่อีกราว 2 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 5.8 แสนล้านบาทจะใช้เพื่อช่วยอุดหนุนการจ้างงานของภาคเอกชน และเงินส่วนที่เหลือจะนำไปสนับสนุนด้านการแพทย์
แม้เงินช่วยเหลือเศรษฐกิจที่ออกมาอย่างต่อเนื่องของญี่ปุ่นจะเป็นสิ่งจำเป็นกับเศรษฐกิจของประเทศ และมีมูลค่ารวมกันไปแล้วกว่า 234 ล้านล้านเยน หรือประมาณ 67.5 ล้านล้านบาท ซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากกว่าร้อยละ 40 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินมหาศาลนั้นก็เป็นการเพิ่มระดับหนี้สาธารณะของประเทศเช่นเดียวกัน
ล่าสุด เมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมาก่อนมีการประกาศอัดฉีดเม็ดเงินเพิ่มเติมนี้ เอสแอนด์พี โกลบอล เรตติงส์ สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือปรับลดมุมองต่อพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่นลงมาอยู่ที่ระดับมั่นคง (stable) จากเดิมที่อยู่ในมุมมองเป็นบวก (positive) โดยให้เหตุผลว่าโควิด-19 บั่นทอนเสถียรภาพทางการเงินของญี่ปุ่นไปบ้าง แต่สถาบันฯ ยังมองว่าสถานการณ์จะกลับเข้าสู่ภาวะปกติในอีก 2 - 3 ปีข้างหน้าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว
นายคิม เอิง ถัง ผู้อำนวยการอาวุโสของเอสแอนด์พีโกลบอล อธิบายเพิ่มว่า ตัวเลขอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจที่ลดลงอย่างรุนแรงจะเป็นแรงกระตุ้นสำคัญในการปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น แม้ระดับปัจจุบันในฝั่งพันธบัตรระยะยาวจะยังอยู่ที่ A+ และฝั่งระยะสั้นอยู่ที่ A-1
ทั้งนี้สมาชิกรัฐสภาของญี่ปุ่นชี้แจงว่าแม้รัฐบาลจะต้องใช้เงินมหาศาลในช่วงที่ผ่านมา แต่สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือการรักษาบริษัทเอกชนและครัวเรือนเอาไว้ให้ได้ อีกทั้งการจะทำให้ระบบการเงินกลับมาดีได้ ก็จำเป็นต้องพึ่งเศรษฐกิจที่ดีเช่นเดียวกัน
แม้ปัจจุบัน ญี่ปุ่นจะประกาศยกเลิกมาตรการฉุกเฉินไปแล้ว รวมทั้งหลายฝ่ายประเมินว่าประเทศได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วเช่นเดียวกัน แต่ประมาณการจีดีพีในไตรมาสที่สองของญี่ปุ่นอาจติดลบมากถึงร้อยละ 22 ซึ่งนับว่าต่ำที่สุดตั้งแต่ปี 2498