นอกจากความเสียหายเชิงนิเวศวิทยา สัตว์ทั้งสองตัวนี้ยังทำลายพืชผลทางการเกษตร อีกทั้งยังก่อให้เกิดกระแสไฟฟ้าดับ ยังผลมาด้วยราคาค่าเสียหายแสนแพงต่อมนุษย์
นักวิจัยเชื่อว่า การค้นพบในครั้งนี้จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนเพื่อป้องกันสัตว์ศัตรูพืชเหล่านี้ในอนาคต ซึ่งรายงานวิจัยระบุว่า แค่งูต้นไม้เพียงชนิดเดียว ก็สร้างความเสียหายไปแล้วราว 1 พันล้านเหรียญสหรัฐฯ (ประมาณ 3.6 แสนล้านบาท) โดยส่วนหนึ่งเป็นเพราะมันสามารถขยายพันธุ์ได้รวดเร็วจนไม่สามารถควบคุมจำนวนประชากรของมันได้ โดยเฉพาะในหมู่เกาะแถบมหาสมุทรแปซิฟิก
งูชนิดนี้ถูกค้นพบโดนบังเอิญบนเกาะกวมโดยทหารสหรัฐฯ เมื่อประมาณร้อยปีที่แล้ว จนในปัจจุบันจำนวนของพวกมันเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และสร้างปัญหาไฟฟ้าดับครั้งใหญ่หลายครั้ง เนื่องจากพวกมันมักเลื้อยผ่านสายไฟ และสร้างความเสียหายมูลค่ามหาศาล
ทั้งนี้ บนเกาะกวมอาจพบงูต้นไม้สีน้ำตาลได้กว่า 2 ล้านตัว กล่าวคือในพื้นที่ 1 เอเคอร์จะพบงูชนิดนี้ได้ถึง 20 ตัว ทั้งนี้ ระบบนิเวศของเกาะถูกมองว่าเปราะบางลงมาก เนื่องจากสัตว์ศัตรูพืชเหล่านี้นำมาซึ่งการสูญพันธุ์ของสัตว์พื้นถิ่นและพืชพันธุ์ต่างๆ
ในทวีปยุโรป การเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วของกบอเมริกันบูลฟร็อก จำเป็นจะต้องมีการจัดการที่แน่วแน่และงบประมาณมูลค่าสูง
เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องติดตั้งรั้วป้องกันกบล้อมรอบจุดขยายพันธุ์ของมัน เพื่อป้องกันการขยายพันธุ์ของกบพวกนี้ ที่สามารถโตได้ถึง 12 นิ้ว หนักราวครึ่งกิโลกรัม โดยการสร้างรั้วล้อมรอบบ่อน้ำ 5 บ่อที่เป็นแหล่งแพร่พันธุ์ของพวกมัน ส่งผลให้ทางการเยอรมนีเสียงบประมาณไปราว 2.7 แสนยูโร (ประมาณ 10 ล้านบาท) ทั้งนี้ กบจำพวกนี้กินแทบจะทุกอย่าง แม้กระทั่งพวกเดียวกันเอง
สัตว์อีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่ถูกมองว่าสร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน ไปในรูปแบบที่แตกต่างกัน คือ กบโกกี เนื่องจากพวกมันมักส่งเสียงร้องที่ดังแสบแก้วหู ส่งผลให้ราคาอสังหาริมทรัพย์ในแถบที่มีพวกมันอยู่อาศัยตก เพราะไม่มีใครอยากจะอยู่ฟังเสียงพวกมัน
นักวิจัยคาดหวังเป็นอย่างยิ่งว่า การค้นพบครั้งนี้จะส่งเสริมให้เกิดการลงทุนที่มากขึ้นในการควบคุมสัตว์ศัตรูพืชเหล่านี้ รวมถึงการออกมาตรการเกี่ยวกับความมั่นคงทางชีวภาพที่มากขึ้นในอนาคต
ที่มา: