พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กล่าวว่า ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เตรียมปรับคณะรัฐมนตรี ตามรายชื่อที่ได้คาดหมายกันแล้วนั้น เชื่อได้ว่ารัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และ เศรษฐกิจไทยจะยิ่งแย่ลงกว่าเดิม โดยการเลือก ปรีดี ดาวฉาย เป็นรองนายกฯ ควบ รมว.คลัง เข้าบริหารเศรษฐกิจ จะไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นได้
ทั้งนี้ เพราะภาวะเศรษฐกิจที่ทรุดหนักในปัจจุบันต้องการคนที่มีความรู้ความสามารถอย่างมาก และต้องมีเครดิตอย่างสูงสะสมมาในอดีตเข้ามาบริหาร ซึ่งปรีดีไม่เคยมีผลงานในการบริหารเศรษฐกิจมาก่อนเลย และไม่เคยได้แสดงวิสัยทัศน์และแนวคิดในการแก้เศรษฐกิจให้ประจักษ์มาเลย อีกทั้งปรีดีเองก็จบการศึกษาทางด้านนิติศาสตร์ ไม่ได้มีพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ เหมือนที่ พล.อ.ประยุทธ์เคยถามตนออกอากาศในการประชุมนานาชาติ G77 ว่า จบอะไรมา? แต่กลับไม่ตรวจสอบคนที่ตนเลือก
พิชัย ระบุว่า การที่เคยเป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคารไม่ได้หมายความว่าจะบริหารเศรษฐกิจของประเทศได้สำเร็จ เพราะผู้บริหารระดับสูงของธนาคารหลายคนที่เคยเข้าสู่การเมืองในอดีตเกือบทั้งหมดก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตั้งแต่สมัย บุญชู ธารินทร์ ไล่ลงมา ซึ่งถ้าหากจะเลือกปรีดี นั้น พล.อ.ประยุทธ์น่าจะเลือก อภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ อดีตรมว.คลัง มากกว่า เพราะน่าจะเก่งกว่าและมีประสบการณ์การบริหารประเทศ และเป็นที่ยอมรับของคนในทุกวงการมากกว่า และการที่ปรีดี ต้องรับตำแหน่งทั้งรองนายกฯ และรมว.คลัง จะเกินมือ และเชื่อได้ว่าจะมีโอกาสล้มเหลวและเสียคนอย่างแน่นอน ซึ่งตนได้เตือนไว้ก่อนหน้านี้แล้ว
พิชัย ระบุอีกว่า ในส่วนของ รมว.พลังงาน ที่ไพรินทร์ ชูโชติถาวร อดีต รมช.คมนาคม และอดีต CEO บมจ.ปตท. ถอนตัว แต่พล.อ.ประยุทธ์ยังคงไม่เลือกสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เข้ารับตำแหน่งตามมติพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งสุริยะควรจะต้องรู้ตัวแล้วว่า ต้องเป็นที่น่ารังเกียจอย่างแน่นอน อาจจะเป็นเพราะคำมั่นสัญญาที่เคยให้ไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่งก่อนมีการเลือกตั้งที่กลับมาหลอกหลอนไม่หยุด ดังนั้นการที่ได้เป็น รมว.อุตสาหกรรม น่าจะเป็นจุดสูงสุดของสุริยะแล้ว จึงอยากให้สุริยะได้ทำใจ และเป็นห่วงว่า รมว.พลังงานคนใหม่ จะทนแรงกดดันจากคนของพรรคพลังประชารัฐ ที่อยากได้ตำแหน่งนี้ได้ขนาดไหน
ในส่วนของ รมว.แรงงาน และรมว.อุดมศึกษาฯ ก็เป็นตามที่พรรคการเมืองเสนอมา คงมีแต่ นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ โฆษกรัฐบาล ที่ถูกโจมตีอย่างหนักก่อนหน้านี้แต่ก็ยังจะได้เป็น รมช.แรงงาน ซึ่งก็คงต้องดูผลงานว่าขนาดแค่ด้านแรงงาน นฤมลจะทำได้ดีขนาดไหน และจะทำได้ดีกว่างานโฆษกที่ยังมีผลงานสับสนหรือไม่
พิชัย กล่าวด้วยว่า จากภาพรวมของการปรับ ครม. รัฐบาลจะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เลย ยิ่ง พล.อ.ประยุทธ์บอกว่าจะเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจเองก็จะยิ่งแย่ไปกันใหญ่ เพราะตั้งแต่ พล.อ.ประยุทธ์เป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจหลังการเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยก็ดิ่งเหวมาโดยตลอด เพราะขาดความรู้ความสามารถ และจะยิ่งตอกย้ำความล้มเหลวของรัฐบาลในทุกด้าน ทั้ง เศรษฐกิจ สังคม การเมือง และ ตอนนี้ได้ลามไปถึง ขบวนการยุติธรรมแล้ว ซึ่งไม่เคยมีรัฐบาลใดล้มเหลวทุกด้านขนาดนี้มาก่อน ดังนั้นจึงอยากให้ครม.ใหม่เตรียมรับกับสภาวการณ์ดังนี้
นายพิชัย กล่าวต่อว่า สภาวะเศรษฐกิจไทยทรุดหนักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน การส่งออกในเดือนมิ.ย.ติดลบถึง 23.2% ต่ำที่สุดในรอบ 11 ปี ทำให้ครึ่งปีแรกส่งออกติดลบ 7.1% และมีโอกาสสูงที่ปีนี้เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวติดลบเกิน 10% ตามที่กังวลกัน ซึ่งนับว่าทรุดหนักมาก และจะทรุดหนักที่สุดในเอเชีย อีกทั้งยังไม่มีทิศทางว่าจะฟื้นได้อย่างไรจากการบริหารงานของรัฐบาลนี้ ขนาดบริษัทใหญ่ของญี่ปุ่นจำนวนมากย้ายออกจากประเทศจีนยังหันไปลงทุนในประเทศเวียดนาม แต่ไม่ลงทุนในไทย โดยที่รัฐบาลญี่ปุ่นเองก็ส่งเสริมให้ไปลงทุนในเวียดนาม
ดังนั้น ถึงแม้มีการปรับครม.ก็จะไม่สามารถแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ และประชาชนส่วนใหญ่ก็ไม่เชื่อว่าจะทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นได้ แม้จะปรับครม. และจากผลโพลทุกสำนักที่อยากเห็นการเปลี่ยนรัฐบาลเพราะไม่เชื่อมั่นในรัฐบาลแล้ว อีกทั้งโพลยังเห็นด้วยและสนับสนุนนักศึกษาที่ชุมนุมมากกว่ารัฐบาลมาก คนที่มีชื่อเสียงและมีต้นทุนทางสังคมต่างพากันปฏิเสธ ทำให้เชื่อได้ว่ารัฐบาลจะหมดสภาพในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจที่จะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งหากยังคงเป็นรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์จะไม่มีทางที่จะแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้เลย
ซัด 'พล.อ.ประยุทธ์' ศูนย์กลางความแตกแยก
สภาวะสังคมที่เสื่อมทราม ซึ่งมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ การฆ่าตัวตายจากพิษเศรษฐกิจมีเพิ่มขึ้นอย่างมาก มีการก่ออาชญากรรม ขโมย จี้ ปล้น โกง หลอกลวง กันไปทั่ว แม้กระทั่งโกงเงินบริจาค สังคมแตกแยก พล.อ.ประยุทธ์กลายเป็นศูนย์กลางของความแตกแยกไปแล้ว นักศึกษา นักเรียน และคนรุ่นใหม่ออกมาประท้วงกันทั่วประเทศ ปัจจุบันมีถึงกว่า 40 จังหวัดแล้วและยังจะมีเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ และยังมีความพยายามจะปิดกั้นการแสดงความเห็นของนักศึกษาและคนรุ่นใหม่ โดยใช้กำลัง ทหาร ตำรวจ รวมถึง ครู อาจารย์ อีกทั้ง มีการข่มขู่ว่าจะไม่สามารถหางานทำได้ ทั้งที่ความจริงสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ปัจจุบัน ก็จะทำให้คนตกงานอยู่แล้ว 8-10 ล้านคน นักศึกษาจบใหม่จะไม่มีงานทำ ยิ่งถ้ารัฐบาลปัจจุบันที่ไม่เหลือความเชื่อมั่นแล้ว การลงทุนและการสร้างงานก็จะไม่มี อีกทั้งยังจะมีการจัดมวลชนเพื่อชนกับนักศึกษา ซึ่งต่อมากลายเป็นการจัดฉากไป
นอกจากนี้จะมีเอกสารข่มขู่ว่าจะเตรียมสถานที่เพื่อจับแกนนำนักศึกษาไปคุมขังอีกด้วย และยังขู่ว่าจะใช้อาวุธ ซึ่งหากทำจริงจะยิ่งเท่ากับเติมเชื้อเพลิงเข้าไปในกองไฟ สถานการณ์จะยิ่งลุกลาม จนรัฐบาลไม่น่าจะคุมได้ แต่ขณะเดียวกันก็ต้องขอชื่นชมและน่าภูมิใจและเห็นว่าประเทศไทยน่าจะยังมีความหวังในอนาคต และก้าวหน้าต่อไปได้ หลังจากวิกฤตการณ์นี้ จากการแสดงความคิดเห็นที่ตรงไปตรงมาและมีวิจารณญาณของนักเรียน นักศึกษา และคนรุ่นใหม่ ที่ขึ้นเวที อภิปรายได้อย่างน่าประทับใจ และ รู้ข้อมูลเชิงลึก คิดวิเคราะห์แบบมีตรรกะได้ดีกว่าผู้ใหญ่ที่มีการศึกษาจำนวนมาก ซึ่งเชื่อว่านักเรียน นักศึกษา และ คนรุ่นใหม่เหล่านี้ จะเติบโตขึ้นไปนำพาประเทศให้พัฒนา และแข่งขันกับประเทศอื่นๆในประชาคมโลกได้ ที่ปัจจุบันต้องแข่งกันด้วยแนวคิดใหม่ๆ การ กล้าแสดงออก และความฉลาดที่จะต้องตามทันโลก
ภาวะการเมืองที่เสื่อมถอย มีการแย่งชิงตำแหน่งกันอย่างไม่ได้สนใจว่าประชาชนจะคิดอย่างไร ไม่แคร์เลยว่าประชาชนเดือดร้อนกันแค่ไหนในภาวะเศรษฐกิจนี้ อีกทั้งปรับ ครม. ก็จะไม่สามารถแก้ปัญหาได้ และที่สำคัญคือ มีการบริหารประเทศที่ล้มเหลวในทุกด้าน แต่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงผู้นำภายใต้ระบอบการเมืองนี้ได้ เนื่องจากรัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นเพื่อสืบทอดอำนาจ แต่หลังจากที่ถูกกดดันจาก นักเรียน นักศึกษาและคนรุ่นใหม่ พรรคร่วมรัฐบาล และสมาชิกวุฒิสภา เพิ่งจะมาเสียงอ่อยยอมที่จะแก้ไขรัฐธรรมนูญแต่ไม่แน่ใจว่า เป็นแค่ความต้องการที่จะซื้อเวลาหรือไม่ เพราะในอดีตเห็นชื่นชมรัฐธรรมนูญนี้กันอย่างมาก
แนะ 'ประยุทธ์' ลาออก ก่อนจบไม่สวยเหมือนอดีตผู้นำมาเลย์
แต่ที่เป็นปัญหาที่สุด คือระบบยุติธรรมที่แหลกเละ จากคดี 'บอส อยู่วิทยา' ที่ทำให้สังคมลุกฮือต่อต้านถึงขนาดคนในครอบครัวยังต้องตัดพี่ตัดน้องตัดญาติกันเลย พล.อ.ประยุทธ์จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ เพราะเงินบริจาค 300 ล้าน ตามหนังสือร้องขอ เป็นบทเรียนของผู้นำว่าจะออกจดหมายขอใครก็ต้องดูให้ดีก่อน อีกทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ยังกำกับดูแล ทั้งสำนักอัยการและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และทำให้ประชาชนสงสัยกันว่าจะพึ่งตำรวจได้อย่างไร ขนาดพวกเดียวกันตำรวจยังไม่ปกป้องคุ้มครอง ต่อสู้เพื่อรักษาศักดิ์ศรีให้กันเลย และรู้สึกเจ็บปวดแทนตำรวจอย่างมากเมื่อมีการประชดประชันกันในโซเชียลถึงการเลือกที่จะไม่ขับรถชนสุนัขที่จะถูกจับ แต่จะเลือกที่จะชนตำรวจเพราะจะไม่ถูกจับ ก็ยังแปลกใจว่าทำไมตำรวจถึงทนกันได้ เหมือนกับศักดิ์ศรีของตำรวจแทบไม่เหลือแล้ว ความไม่พอใจในระบบยุติธรรมน่าจะสะสมมาตลอดหลายปีนี้จากทุกฝ่าย ทั้งเรื่องนาฬิกายืมเพื่อน ส.ส.บุกรุกป่าสงวนได้ไม่ถูกดำเนินคดี แต่คนจนถูกจับติดคุก รมต.ที่มีอดีตพัวพันยาเสพติด แต่ก็ยังไม่ถูกปลดออก เป็นต้น ทั้งนี้ รวมถึงคดีที่ค้างคาของคนทั้งฝั่งเหลือง ฝั่งแดงในอดีตที่ควรจะต้องมีนิรโทษกรรมกันแล้ว เพื่อประเทศจะได้เดินหน้าต่อไปได้
"ดังนั้น จะเห็นได้ว่า รัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์บริหารล้มเหลวในทุกด้าน โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ตอกย้ำด้วยปัญหาระบบยุติธรรมที่แหลกเละ ยิ่งอยู่นานประเทศยิ่งเสื่อมโทรม หมดสภาพในการที่จะเดินหน้าต่อไปแล้ว การปรับ ครม. จะไม่ช่วยให้ดีขึ้น ทางที่ดีที่สุดคือ พล.อ.ประยุทธ์ต้องลาออกโดยเร็วเพื่อให้คนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารแทนเพื่อแก้ปัญหาที่หนักเกินความสามารถ หาก พล.อ.ประยุทธ์ยังดื้อรั้น ก็น่าเป็นห่วงและอยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ได้ดูตัวอย่างอดีตนายกรัฐมนตรีของประเทศมาเลเซีย นาจิบ ราซัก ที่ถูกตัดสินให้ติดคุก 12 ปีจากการกระทำผิดข้อหาทุจริต เพราะ พล.อ.ประยุทธ์น่าจะทราบดีว่าตลอดเวลาที่บริหารประเทศมา 6 ปีกว่า น่าจะต้องมีเรื่องผิดพลาดที่อาจเกิดขึ้นและอาจถูกนำไปสู่การดำเนินคดีได้ หากต้องถูกบังคับให้ลงโดยการขับไล่ของประชาชน" พิชัย ระบุ