เมื่อวันที่ 13 พ.ย. 2563 อนุทิน ชาญวีรกูลรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธานเปิดงาน "Smart living with COVID-19 : เปิดประเทศปลอดภัยเศรษฐกิจไทยไปรอด" ที่โรงแรมพูลแมน คิง เพาว์เวอร์ พร้อมทำความเข้าใจสื่อมวลชน และ Infuencers โดยมี นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวง รวมทั้งอธิบดีทุกกรมและผู้บริหารกระทรวงสาธารณสุขเข้าร่วมงาน
อนุทิน กล่าวว่า ระบบสาธารณสุขไทยมีความมั่นคงแข็งแกร่งและความสำเร็จในการจัดการโควิด-19 ที่เกิดขึ้น มาจากความร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วน โดยเฉพาะศักยภาพของ อสม.ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของแพทย์พยาบาลเจ้าหน้าที่สาธารณสุข จากนี้ต้องสร้างสมดุลระหว่างสุขภาพกับเศรษฐกิจ บนพื้นฐานความปลอดภัยของประชาชน มีการผ่อนคลายกฎระเบียบต่างๆให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขับเคลื่อนต่อไปได้ เพื่อเตรียมความพร้อมเปิดประเทศ ขณะที่ยังเข้าไม่ถึงวัคซีน แต่จะไม่อยู่เฉยๆเพื่อรอวัคซีนอย่างเดียว จึงต้องทำงานเชิงรุก
"ให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพ ได้ดำเนินชีวิตแบบปกติสุขได้ ไม่เพียงรักษาคนไข้ให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยหรือเสียชีวิต แต่ต้องหาวิธีชี้แนะแนวทางให้ประชาชนสามารถอยู่กับสถานการณ์ที่เป็นวิกฤตโรคระบาดนี้ได้"
อนุทิน ยืนยันว่า กระทรวงสาธารณสุขต้องรู้จัก โควิด-19 ในระดับที่สูงแล้ว หลังสู้กันมา 10 เดือน จึงพร้อมรับทุกสถานการณ์และได้ลงนามบันทึกข้อตกลงต่างๆกับสถาบันวิจัยพัฒนาเพื่อเข้าถึงวัคซีน ดังนั้น เมื่อมีวัคซีนเกิดขึ้นประเทศไทยจะอยู่ในลำดับขั้นต้นๆที่จะได้วัคซีน แต่กว่าจะถึงวันนั้นยังต้องใช้ New Normal การ์ดไม่ตก จนกว่าจะมีวัคซีนเข้ามา ซึ่งไทยอาจมีข่าวดีมากเกินไปทั้ง เตียง-หมอและยาเพียงพอ เกรงว่าประชาชนอาจจะชะล่าใจการดูแลตัวเอง
ส่วนการนำยาเกี่ยวกับโควิด-19 ให้ประเทศเพื่อนบ้านนั้น ถือป้องกันคนไทยเอง โดยเฉพาะกรณีการลักลอบเข้าเมืองของแรงงานข้ามชาติ ที่อาจนำเชื้อเข้ามาได้
อนุทิน ย้ำถึงความพร้อมด้านสาธารณสุขของไทยในการเปิดประเทศว่า ปัจจุบันยารักษาตามอาการที่ไทยมีอยู่มีประสิทธิภาพ มีชาวต่างชาติติดเชื้อและรับยาไปทานแล้วหายใน 1 สัปดาห์ ถือว่าไทยมั่นคงเรื่องนี้สูง ส่วนหน้ากากอนามัย N95 สำหรับบุคลากรทางการเเพทย์มีเพียงพอและสำรองไว้มากกว่า 2,700,000 ชิ้น มีโรงงานมากกว่า 60 โรงงาน กำลังผลิต 4.7 ชิ้นต่อวัน รวมถึงชุด PPE สำหรับแพทย์ ปัจจุปัน "1.7 ล้าน" ชุด แต่ไทยมีวัตถุดิบและภายใน 1 เดือนจะผลิตออกมาใช้ได้เอง โดยมีกำลังการผลิตได้ถึง 60,000 ชุดต่อวัน
สำหรับผู้เดินทางของประเทศ หากเข้ามาตามกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่ถูกต้อง ไม่มีรอดแม้แต่เคสเดียวแน่นอน ส่วนผู้ลักลอบเข้าเมือง ฝ่ายความมั่นคงและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้มงวด ตรวจตรา
อนุทิน กล่าวด้วยว่า โควิด-19 มาทำร้ายเรา แต่ก็เปิดโอกาสให้ปรับปรุงพัฒนาและหลายอย่างที่จะทำให้กลายเป็นประเทศที่มีความมั่นคงในทุกๆการ และจากนี้ไปเชื่อว่า คนไทยจะให้ความสำคัญเรื่องสุขภาพมากขึ้นหลายเท่าตัว และกระทรวงสาธารณสุขใช้สถานการณ์โควิด-19 ปรับปรุงประสิทธิภาพทุกๆอย่าง
นอกจากนี้ ยังเตรียมเสนอ ศบค.ชุดเล็ก-ชุดใหญ่และนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับข้อเสนอของกระทรวงสาธารณสุขที่อยากให้ลดเวลากักตัวจาก 14 วันเหลือ 10 วัน ซึ่งจะต้องให้หลายหน่วยงานร่วมพิจารณาหลังจากมีกระแสข่าวออกไปแล้วเหมือนว่าหลายภาคส่วนไม่ค่อยสนับสนุน แต่ตนเชื่อมั่นว่า หลังการกักตัว 10 วัน จะไม่มีการไปแพร่เชื้อได้ หรือ หากแพร่เชื้อได้ก็จะมีจำนวนน้อยอยู่ในตัวเลขที่ควบคุมได้ หรือไม่ต่างจากการกักตัว 14 วัน