โดยมีการมองว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไป ‘ล็อบบี้’ พรรคร่วมรัฐบาลมาก่อนเข้า ‘ครม.วงย่อย’ ทำให้ พล.อ.ประวิตร ออกอาการตึงๆขึ้นตามมา แต่สุดท้ายก็ต้อง ‘กลืนเลือด’ ยอมตามมติรัฐบาลเอาสูตรหาร 100
สิ่งที่เด่นชัดขึ้นอีกขั้นคือแผนทำ ‘พรรคสำรอง’ ของ พล.อ.ประยุทธ์ หลังเงียบหายไปนาน นั่นคือพรรค ‘รวมไทยสร้างชาติ’ ที่ขยับอีกครั้ง เตรียมประชุมใหญ่ 3ส.ค.นี้ ที่สโมสรราชพฤกษ์ ที่เดียวกับที่ นายกฯ ดินเนอร์พรรคร่วมรัฐบาลก่อนหน้านี้
โดยมีกระแสว่า ‘พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ ที่ปรึกษานายกฯ จะมาเป็น ‘หัวหน้าพรรค’ หลังลาออกจากสมาชิก พปชร. ซึ่งที่ผ่านมา ‘พีระพันธ์’ ก็ไม่เคยปฏิเสธกระแสข่าวดังกล่าว สำหรับ ‘พีระพันธ์’ อยู่ในสาย ‘เซนต์คาเบรียลคอนเนคชั่น’ โดยเฉพาะกับ ‘บิ๊กแดง’พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ที่เป็นลูกอดีตนายทหารทั้งคู่ ซึ่ง ‘พีระพันธ์’ อายุมากกว่า พล.อ.อภิรัชต์ 1 ปี ทั้งคู่คบหากันสนิทกันมาตั้งแต่เป็นนักเรียนกางเกงขาสั้น
สำหรับ ‘พรรครวมไทยสร้างชาติ’ ว่ากันว่าได้ระดมอดีต ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กับอดีตแกนนำ กปปส. มารวมพลที่พรรคนี้ เช่น ‘ขิง’เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ , วิทยา แก้วภราดัย รวมถึงขั้ว กปปส. ที่เคยอยู่ พปชร. ได้แก่ ‘ตั้น’ณัฏฐพล ทีปสุวรรณ ‘บี’พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ ‘จั้ม’สกลธี ภิททิยกุล ที่อยู่ระหว่างพูดคุย สุดท้ายจะไปจบที่ ‘พรรคไทยสร้างสรรค์’ รังที่สร้างสำรองไว้หรือไม่
ในฝั่ง พล.อ.ประวิตร ก็ไม่ยอมเช่นกัน หลังจาก ‘บิ๊กน้อย’ พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ถอยจากพรรคเศรษฐกิจไทย หลัง ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ยึดพรรคขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคแทน พร้อมถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลไปเป็นฝ่ายค้านเต็มตัว
เหตุผลสำคัญคือไม่สามารถอยู่ในสภาพ ‘กลางเขาควาย’ ได้ ด้วยบทบาทที่ไม่ชัดเจน จึงพ่ายสนามเลือกตั้งซ่อม จ.ลำปาง ที่สำคัญบรรดา ส.ส.เศรษฐกิจไทย หลายคนเป็น ‘บ้านใหญ่’ พื้นที่ภาคเหนือ เล็งเห็นผลลัพธ์จากสนามนี้ ที่ขั้วฝ่ายค้าน ‘พรรคเสรีรวมไทย’ ชนะเลือกตั้ง จึงถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาลไปอยู่ฝ่ายค้าน จึงเริ่ม ‘ทอดไมตรี’ ถึงพรรคเพื่อไทยมากขึ้น ที่เป็น ‘รังเก่า’ ของ ร.อ.ธรรมนัส มาก่อน
ล่าสุด พล.อ.วิชญ์ อยู่ระหว่างการจัดเตรียมทำพรรคใหม่ ที่ถูกมองเป็น ‘พรรคสำรอง’ ของฝั่ง พล.อ.ประวิตร โดยเบื้องต้นจะใช้ชื่อว่า ‘พรรคพลังไทยชัยชนะ’ ที่เตรียมเปิดตัวเร็วๆนี้ด้วย
เรียกว่าเป็น ‘สูตรแตกแบงก์’ ของขั้วอำนาจ ‘3ป.’ ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างพี่น้อง ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ที่ยังเคลียร์กันไปจบ แต่ก็ต้อง ‘กัดฟัน-กอดคอ’ เดินร่วมทางกันต่อไป โดยมีพรรค พปชร. เป็น ‘ศูนย์บัญชาการใหญ่’
แต่เกมนี้ พล.อ.ประวิตร ยังคงเหลี่ยมคมทางการเมืองมากกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ชิงความได้เปรียบในการ ‘คุมเกม’ ชนิดที่ยังมาเหนือกว่า
เพราะ พล.อ.ประวิตร อยู่ในสนามการเมืองมานานกว่า 20 ปี ตั้งแต่ยุครัฐบาลทักษิณ ชินวัตร จนได้ขึ้นเป็น ผบ.ทบ. มีความใกล้ชิดกับ ‘บ้านจันทร์ส่องหล้า’
เรื่อยมาถึงยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ ก็ได้เป็น รมว.กลาโหม หลัง ‘สุเทพ เทือกสุบรรณ’ ผู้จัดการรัฐบาลในยุคนั้น ไปเทียบเชิญ พล.อ.ประวิตร ด้วยตัวเอง ทำให้ พล.อ.ประวิตร มีคอนเนกชั่นทั่วถึง กลายเป็น ‘ผู้จัดการรัฐบาล’ ยุคนี้ รวมทั้งได้ชื่อว่าเป็น ‘มิสเตอร์ดีล’ อีกด้วย
สำทับกับที่ ร.อ.ธรรมนัส เคยให้สัมภาษณ์สื่อยอมรับว่ายังคงพูดคุยกับ ‘ทักษิณ’ อยู่ ทำให้ฝั่ง พล.อ.ประยุทธ์ เกิดความ ‘หวาดระแวง’ ไม่น้อย
ล่าสุด ร.อ.ธรรมนัส ได้เข้าไปกราบลา พล.อ.ประวิตร ที่บ้านป่ารอยต่อ เพื่อถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล ไปเป็นฝ่ายค้าน แถมเตรียมขึ้นอภิปรายใน ‘ศึกซักฟอก’ ซึ่งตัว ร.อ.ธรรมนัส ก็ ‘จองกฐิน’ ชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาลไว้เรียบร้อย เรียกว่า ‘เปิดหน้าชก’ กลางสภา ไม่ต้องหลบต้องซ่อนกันอีก กลายเป็น ‘คู่มวย’ ที่ถูกจับตาในการอภิปรายครั้งนี้
ซึ่งเป็นไปตามคำเตือนก่อนหน้านี้ว่า หากปล่อย ร.อ.ธรรมนัส ออกจาก พปชร. จะเป็นการ ‘ปล่อยเสือเข้าป่า’ ซึ่งวันนี้ก็ได้สำแดงฤทธิ์เดชแล้ว แต่ ร.อ.ธรรมนัส ยังคงปกป้องไม่อภิปราย พล.อ.ประวิตร โดยย้ำถึงผลงานต่างๆ และมองว่า พล.อ.ประวิตร เป็นรองนายกฯ ที่ไม่ได้คุมกระทรวงใดเป็นหลักด้วย
อีกเป้าที่ถูก ‘จองกฐิน’ นั่นคือ ‘บิ๊กป๊อก’พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย หลัง ‘พรรคเล็ก-กลุ่ม16’ ออกมาเล็งเป้าในศึกซักฟอกครั้งนี้ เขย่าเก้าอี้ มท.1 โดย ‘พิเชษฐ สถิรชวาล’ แกนนำกลุ่ม 16 ระบุว่า พล.อ.อนุพงษ์ รอดมาตลอด แต่ครั้งนี้ ไม่รอดแน่ มีบุคลิกไม่สนใจ ส.ส. ติดต่อยาก ทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายนิติบัญญัติ-ฝ่ายบริหาร เหมือนถูกปิดกั้น
ล่าสุดบรรดา ส.ส.พรรคเศรษฐกิจไทย ก็ได้เข้าพบ พล.อ.ประวิตร เพื่อกราบลาถอนตัวจากฝั่งรัฐบาล โดยมีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร เข้าใจเหตุผลการแยกตัว และขอให้ช่วยกันทำงานต่อไป จากนั้นได้ให้ ส.ส.พรรคเล็ก เข้าพบ โดย พล.อ.ประวิตร ขอให้พรรคเล็กโหวตไว้วางใจนายกฯและ 11 รัฐมนตรี ให้คะแนนใกล้เคียงกันด้วย โดยบรรดาพรรคเล็กมีคุยพูดคุยกับ ร.อ.ธรรมนัส ต่อด้วย จึงต้องจับตาจะเป็นไปตามที่ พล.อ.ประวิตร ขอไว้หรือไม่ ถ้ามีการ ‘แตกแถว’ ย่อมกระทบชิ่งสัมพันธ์พี่น้อง ‘2ป.ประยุทธ์-ประวิตร’ ไปด้วย
ทั้งหมดนี้เป็น ‘เกมเหนือเมฆ’ ของ พล.อ.ประวิตร ที่ยังกุมชะตา พล.อ.ประยุทธ์ ที่ต่างมี ‘ศึกวัดพลัง’ กันอยู่ตลอด และเป็น ‘เกมสั่งสอน’ พล.อ.ประยุทธ์ จาก ‘ขั้วบิ๊กป้อม’ ไปในตัวด้วย โดยเฉพาะจาก ‘ผู้กองธรรมนัส’ ที่กลายเป็นเรื่อง ‘แค้นนี้ต้องชำระ’ ดังนั้นภารกิจการกลับมาเป็น นายกฯ อีกสมัยของพล.อ.ประยุทธ์ ต้องเจอทั้ง ‘ศึกนอก-ศึกใน’ พร้อมกัน