ที่โรงแรมเดอะเดวิส บางกอก ซอยสุขุมวิท 24 ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ นำหลักฐานการซื้อขายที่ดินของบริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่ ที่มี เศรษฐา ทวีสิน อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ และแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ที่พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อให้คัดเลือกเป็นนายกรัฐมนตรี
โดยเป็นการซื้อขายที่ดินย่านถนนสารสิน ราคากว่า 1,570 ล้านบาท เมื่อปี 2562 ซึ่งเป็นที่ดินตารางวาละ 1 ล้านบาท ที่ ชูวิทย์ อ้างว่าแพงที่สุดในประเทศไทย แต่มีการประเมินซื้อขายของบริษัทตารางวาละ 4 ล้านบาท ซึ่งมีการหลบเลี่ยงภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทำให้รัฐขาดรายได้ไปกว่า 521 ล้านบาท ถือเป็นการทำนิติกรรมอำพราง มีการแบ่งโอนที่ดินทั้งแปลงเป็น 12 วัน และให้มีผู้ซื้อขาย 12 คน โดยมีหลักฐานการโอนที่ดินในวันทำการติดต่อกันทั้ง 12 วัน จากเดิมที่ต้องเสียภาษีหากโอนที่ดินในวันเดียวเป็นเงินกว่า 580 ล้านบาท แต่ทางบริษัทเสียภาษีที่ดินเป็นเงินเพียง 59 ล้านบาท เท่านั้น
ชูวิทย์ ยังระบุว่า การโอนที่ดินในลักษณะนี้ เป็นการเลี่ยงเสียภาษีในฐานะห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน หรือ คณะบุคคล เพราะต้องเสียจำนวนเงินเยอะกว่าการแยกจ่ายเป็น 12 วัน และยังเห็นว่ามีความผิดปกติในโฉนดที่ระบุถึงเงินมัดจำค่าที่ดินแต่ละวันไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่ใช้เงินสดมากกว่าร้อยละ 50 ในการวางมัดจำ ซึ่งเป็นเงินครั้งละกว่า 200 ล้านบาท ซึ่ง ชูวิทย์ มองว่าผิดปกติ เพราะเงินจำนวนมากขนาดนี้จะต้องจ่ายด้วยเช็ค แต่ครั้งนี้เป็นเงินสด
ชูวิทย์ ยังมีหลักฐานการประชุมของบริษัทแสนสิริ เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2562 ที่มีมติให้แยกโอนที่ดินรวม 12 วัน โดยมีการลงนามรับรองของ เศรษฐา ซึ่งบริษัทแสนสิริ เป็นบริษัทมหาชน มีฝ่ายกฎหมายที่เชี่ยวชาญ เศรษฐา จึงต้องรู้ช่องทางกฎหมายเป็นอย่างดี และเชื่อว่าหาก เศรษฐา ได้รับการเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรีก็จะมีการเอื้อประโยชน์ให้กลุ่มนายทุนต่างๆ เช่นเดียวกับคดีเก่าๆ ของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
ชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัท แสนสิริ ไม่เคยซื้อที่ดินโดยตรงจากเจ้าของ แต่ให้บริษัทในเครือมาซื้อ แล้วก็ทำธุรกรรมอำพรางจนทำให้มีราคาที่ดินสูงขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้บริษัท แสนสิริ เคยมาติดต่อซื้อที่ดินของ ชูวิทย์ มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท มาแล้ว แต่ไม่ขายให้เนื่องจากติดสัญญาซื้อขายกับบริษัทอื่นอยู่ และได้ขายไปให้กับบริษัทดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว พร้อมยืนยันว่า การที่ออกมาเปิดเผยในครั้งนี้ไม่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายที่ดินกับบริษัทแสนสิริ และไม่ได้มีเรื่องโกรธเคืองกับ เศรษฐา เป็นการส่วนตัว แต่เป็นการออกมาพูดเพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะต้องการให้ ”นายกรัฐมนตรีมีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์”
หลังจากนี้ ชูวิทย์ บอกว่า จะนำเรื่องดังกล่าวส่งให้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ หรือ กลต. กรมสรรพากร และประธานรัฐสภา ตรวจสอบความผิดปกติของการหลีกเลี่ยงภาษีของ เศรษฐา ซึ่งถือว่าทำให้รัฐเสียหายกว่า 521 ล้านบาท ต่างจากกรณีของ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แม้ว่าจะถูกกล่าวหาว่าถือครองหุ้นสื่อ 42,000 หุ้น แต่ยังไม่ทำความเสียหายให้กับประเทศ
ชูวิทย์ บอกด้วยว่า จะเตรียมนำเริ่องดังกล่าวไปยื่นให้ สว. พิจารณาในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีต่อไป รวมถึงยื่นต่อพรรคก้าวไกล ที่นำเสนอไว้มาโดยตลอดว่าจะขจัดกลุ่มทุนผูกขาด เพื่อให้ดำเนินการตรวจสอบเมื่อทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้าน
ชูวิทย์ ยังระบุว่า บริษัทอสังหาริมทรัพย์ส่วนใหญ่ในไทย มักจะหลีกเลี่ยงภาษีด้วยวิธีนี้ แต่บริษัท แสนสิริ ทำเยอะกว่าบริษัทอื่น จึงไม่เห็นด้วยที่จะเสนอให้ เศรษฐา เป็นนายกรัฐมนตรี แต่เห็นว่า ชัยเกษม นิติสิริ ที่ยังมีชื่อเป็นหนึ่งในแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี มีความเหมาะสมที่สุด เพราะเป็นผู้มีความรู้ทางกฎหมาย และมีอายุมากแล้วคงไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ส่วน แพทองธาร ชินวัตร นั้น ตนเห็นว่ายังมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในการทำทุกอย่างให้ ทักษิณ ผู้เป็นบิดาได้กลับไทย
สำหรับการออกมาเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้ ชูวิทย์ ระบุว่าเป็นการแฉเพื่อชาติ และเป็นเพียงเรื่องแรก ยังมีอีก 11 เรื่อง ที่ยังรอการเปิดเผย ซึ่งนายชูวิทย์ได้ตั้งชื่อเรื่องไว้ทั้งหมดแล้ว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวครั้งนี้ เรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย โดยระบุว่า จะนำข้อมูลที่ ชูวิทย์ นำเสนอไปวิเคราะห์อีกด้านหนึ่ง เพราะยังมีความคลาดเคลื่อนด้านข้อกฎหมายอยู่