นพ.สุภกร บัวสาย รักษาการผู้จัดการกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กล่าวว่า ในปี 2564 กลุ่มเป้าหมายของ กสศ. ยังคงได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด-19 อย่างต่อเนื่อง จากผลการคัดกรองนักเรียนยากจนพิเศษ พบว่า มีจำนวนสูงสุดนับแต่เคยมีการสำรวจ รายได้ของครอบครัวเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ลดลงเหลือ 1,094 บาทต่อเดือน เทียบกับ 1,159 บาทต่อเดือนช่วงก่อนสถานการณ์โควิด-19
จนเกิดปรากฏการณ์ยากจนเฉียบพลัน ส่งผลให้นักเรียนกลุ่มยากจนพิเศษ ในภาคเรียนที่ 1/2564 มีจำนวนถึง 1,244,591 คน หรือสูงสุดนับแต่ปีการศึกษา 2561 หรือเพิ่มขึ้น 250,163 คน หรือร้อยละ 20 เทียบกับภาคเรียนที่ 1/2563 ที่ยังไม่มีการระบาดของโควิด-19 ความเสี่ยงของเด็กนักเรียนยากจนที่จะหลุดออกจากระบบการศึกษา เห็นได้ชัดในกลุ่มช่วงชั้นรอยต่อ โดยเฉพาะระดับชั้น มัธยมศึกษาปีที่ 3 ซึ่งเป็นปีสิ้นสุดของการศึกษาภาคบังคับ
นพ.สุภกร กล่าวว่า จากงบประมาณที่ได้รับการจัดสรรในปี 2564 จำนวน 6,084.76 ล้านบาท กสศ.สามารถช่วยเหลือกลุ่มเป้าหมายที่สะท้อนปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาของประเทศจำนวน 1.35 ล้านคน เป็นนักเรียนยากจนพิเศษโดยตรงราว 1.2 ล้านคน ด้วยทุนเสมอภาคในอัตรา 3,000 บาท/คน/ปีการศึกษา
ซึ่งเป็นอัตราที่ต่ำมาก แต่มุ่งหวังเพื่อบรรเทาปัญหาให้กับครอบครัวยากลำบากร้อยละ 15 ล่างสุดของประเทศ แม้มีมาตรการเรียนฟรี 15 ปี แต่ก็ยังไม่เพียงพอ โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายด้านการเดินทางและค่าครองชีพที่สูงขึ้น จนต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา
“กสศ.ใช้คำว่าทุนเสมอภาค เพื่อสื่อว่าเป็นการที่ประชาชนมีส่วนรวมเสียภาษีเกื้อหนุนครอบครัวที่ยากลำบากที่สุด และทุนเสมอภาคมิใช่เป็นเงินสงเคราะห์ แต่เป็นการให้เงินอุดหนุนแบบมีเงื่อนไข ต้องรักษาอัตราการมาเรียนให้มากกว่าร้อยละ 80 ของเวลาเรียน และมีการติดตามข้อมูลพัฒนาการให้สมวัยตามเกณฑ์ของกรมอนามัย ผลการประเมินขั้นต้นของกสศ.
พบว่า กลุ่มที่เคยขาดเรียนเฉลี่ยสัปดาห์ละ 2 วัน ขาดเรียนลดลงเหลือสัปดาห์ละครึ่งวัน และในช่วงที่สถานการณ์โควิด-19 ปีการศึกษา 2563-2564 นักเรียนทุนเสมอภาคกว่าร้อยละ 95 ยังคงอยู่ในระบบการศึกษา ทั้งนี้เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม ที่ผ่านมา กสศ.ได้จัดสรรทุนเสมอภาค ภาคเรียนที่ 2/2564 ให้แก่นักเรียนยากจนพิเศษจำนวน 1,247,451 คน วงเงินงบประมาณ 1,978,264,500 บาท ” นพ.สุภกร กล่าว
นพ.สุภกร กล่าวว่า อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มนักเรียนยากจนอีกราว 8 แสนคน ที่ กสศ. ได้ทำงานร่วมกับครูมากกว่า 400,000 คนทั่วประเทศในการคัดกรองสถานะความยากจน แต่งบประมาณที่กสศ. ได้รับจากรัฐบาลแต่ละปียังไม่เพียงพอ กสศ. จึงสนับสนุนข้อมูลผลการคัดกรองรายบุคคลให้แก่หน่วยงานต้นสังกัดเพื่อช่วยเหลือผ่านเงินปัจจัยพื้นฐานสำหรับนักเรียนยากจนในโครงการเรียนฟรี 15 ปี ระดับประถมศึกษา 1,000 บาท/คน/ปีการศึกษา
และระดับมัธยมศึกษาตอนต้น 3,000 บาท/คน/ปีการศึกษา ซึ่งคิดเป็นเงินเพียง 5-15 บาทต่อวันเท่านั้น และเป็นอัตราที่ไม่ได้ปรับปรุงให้สอดคล้องกับปัจจุบันมากว่า 12 ปี ตั้งแต่มีโครงการเรียนฟรี 15 ปีเมื่อปีการศึกษา 2552 ดังนั้น กสศ. และ หน่วยงานต้นสังกัดทางการศึกษา ได้เสนอแผนการใช้เงินประจำปีงบประมาณ 2566 โดยขยายกลุ่มเป้าหมายให้ครอบคลุมกลุ่มนักเรียนอนุบาล และ ม.ปลายที่เข้าเกณฑ์ยากจนและยากจนพิเศษมากกว่า 240,000 คน
นพ.สุภกร กล่าวว่า การช่วยเหลือด้วยทุนเสมอภาคเป็นเพียงการบรรเทาความเดือดร้อนไม่ให้วิกฤต ในฐานะที่กสศ.เป็นหน่วยงานสาธารณะที่รับผิดชอบต่อประชาชน ต้องมุ่งแก้ปัญหาให้ลึกขึ้นไปอีกจากโจทย์ที่ต้นทาง จึงได้วิเคราะห์พบว่าบรรดาเด็กและเยาวชนกลุ่มขาดโอกาสแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ จากสถานการณ์ปัจจุบันมีเป้าหมายการช่วยเหลือที่แตกต่างกัน ดังนี้
กลุ่ม 1 นักเรียนระดับการศึกษาภาคบังคับ จำเป็นต้องยกระดับคุณภาพการศึกษาผ่านการพัฒนาครูและโรงเรียนในพื้นที่ห่างไกล โดยกสศ.ทำงานร่วมกับกระทรวงศึกษาธิการ และ 11 เครือข่ายปฏิรูปการศึกษาทั่วประเทศ พัฒนาโรงเรียนขนาดกลางสังกัด สพฐ. สช. และ อปท. รวม 727 แห่ง ให้เป็นต้นแบบโรงเรียนพัฒนาตนเอง นักเรียนทุกคนมีโอกาสพัฒนาตนเองตามศักยภาพ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 22,303 คน มีนักเรียนได้รับประโยชน์ จำนวน 204,680 คน
สำหรับ กลุ่ม 2 นักเรียนชั้นมัธยมปลายทั้งสายสามัญและสายอาชีพ ซึ่งจะอยู่ในระบบการศึกษาอีกเพียง 1-3 ปี หลังจากนั้นจะทยอยออกจากระบบการศึกษาเข้าสู่ตลาดแรงงาน โดยมีเพียงร้อยละ 11.54 ของนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษเท่านั้นที่เรียนต่อในระดับอุดมศึกษาจึงต้องช่วยส่งเสริมความพร้อมการทำงาน กสศ.พัฒนารูปแบบการให้ทุนการศึกษาระดับสูง ได้แก่ ทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง ทุนพระกนิษฐาสัมมาชีพ ทุนครูรัก(ษ์)ถิ่น รวมทั้งสิ้น 8,019 ทุน เป็นทุนการศึกษาใหม่ 2,714 ทุน และทุนการศึกษาสะสม 5,305 ทุน โดยในปีนี้มีนักศึกษาทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูงสำเร็จการศึกษาจำนวน 1,106 คน กว่าร้อยละ 67 ของนักศึกษามีผลการเรียนเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 3.00 สามารถก้าวเข้าสู่ตลาดแรงงานได้อย่างมีคุณภาพ
นพ.สุภกร กล่าวว่า จากการเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายบุคคลและรายสถานศึกษาในกลุ่มนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ ระหว่างกสศ. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมและที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) พบว่า แม้ในสถานการณ์โควิด-19 ที่รุนแรงในปีการศึกษา 2564 ยังมีนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษรวม 11,541 คน จากทั้งหมดประมาณ 100,000 คน หรือร้อยละ 11.54 ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคจนผ่านการคัดเลือกของ TCAS64 เข้าสู่การศึกษาในระดับอุดมศึกษาได้ กสศ. ได้ส่งต่อข้อมูลให้กับทาง ทปอ.เพื่อติดตามและพิจารณาให้ทุนการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยต่าง ๆ แก่นักเรียนช้างเผือกเหล่านี้อย่างเป็นระบบ
ในระยะยาวจะเกิดการบูรณาการฐานข้อมูลรายบุคคลของเด็กและเยาวชนอายุ 3 – 25 ปี ในครัวเรือนยากจนที่สุดร้อยละ 15 - 20 ของประเทศที่อยู่ใต้เส้นความยากจนของสภาพัฒน์มากกว่า 2 ล้านคน โดยฐานข้อมูลนี้นอกจากจะสามารถใช้ระดมความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และประชาชนทั่วไป ยังสามารถช่วยเหลือสนับสนุนให้เด็กเยาวชนกลุ่มนี้ไม่หลุดออกจากระบบการศึกษาและสามารถศึกษาต่อจนถึงระดับสูงสุดตามศักยภาพ จึงอาจกล่าวได้ว่าระบบข้อมูลสารสนเทศที่ กสศ. ร่วมพัฒนากับหน่วยงานต้นสังกัดด้านการศึกษามากกว่า 5 กระทรวงจะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาไปสู่ระบบหลักประกันโอกาสทางการศึกษาของประเทศไทยได้ในอนาคต
กลุ่ม 3 เด็กนอกระบบระดับการศึกษาภาคบังคับ เป็นกลุ่มที่นำกลับคืนสู่ระบบการศึกษาได้ยากที่สุด โดยปีที่ผ่านมา กสศ.ร่วมกับองค์กรพัฒนาเด็กและเยาวชนในพื้นที่ 74 จังหวัด พัฒนาระบบและความร่วมมือระหว่างหน่วยงานในพื้นที่ ด้วยโมเดลการศึกษาทางเลือกที่เหมาะสมตามสภาพปัญหาและความต้องการเป็นรายบุคคลแบบครบวงจร ในปีงบประมาณ 2564 มีเด็กนอกระบบได้รับการช่วยเหลือรวม 43,410 คน พร้อมกับส่งเสริมครูนอกระบบการศึกษา จำนวน 3,471 คน
กลุ่ม 4 เยาวชน (อายุ 15-24 ปี) ที่หลุดจากระบบการศึกษาไปแล้ว เป็นกลุ่มที่มีจำนวนสะสมมากและแก้ไขปัญหายากที่สุด ส่วนใหญ่เข้าสู่ตลาดแรงงานไร้ฝีมือนอกระบบ มีรายได้ต่ำ กลุ่มเป้าหมายนี้ยังต้องการความช่วยเหลือจากทั้งภาครัฐภาคเอกชนที่จะพัฒนาทักษะอาชีพ เบื้องต้น กสศ.ร่วมกับหน่วยพัฒนาทักษะอาชีพที่ใช้ชุมชนเป็นฐาน 117 พื้นที่ทั่วประเทศ พัฒนาโมเดลการเรียนรู้ตลอดชีวิตเพื่อยกระดับทักษะอาชีพ ประมาณ 8,561 คน มีอาชีพเลี้ยงดูตนเองและครอบครัวได้
นพ.สุภกร กล่าวว่า โจทย์ความเหลื่อมล้ำมีปมผูกกับปัญหาเศรษฐกิจและสังคมสะสมมายาวนาน เมื่อมีผลกระทบจากโควิด-19 เข้ามาซ้ำเติม ยิ่งทำให้ปัญหาขยายกว้างมากขึ้น ในขณะที่ทรัพยากรภาครัฐไม่เพียงพอ บอร์ดบริหารกสศ. จึงให้แนวทางการทำงานผ่านแผนกลยุทธ์ใหม่ 3 ปีจากนี้ มุ่งเน้นให้กสศ.มีบทบาท เหนี่ยวนำความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบครอบคลุมถึงนโยบายการศึกษาของประเทศลงไปถึงระบบงาน ระดับหน่วยงาน และพัฒนาฐานข้อมูล งานวิชาการคุณภาพสูงที่สามารถไป“กระตุ้น” หรือ“ชี้เป้า” ให้กับเครือข่ายองค์กรพันธมิตรที่เป็นเจ้าของงบประมาณอีกกว่า 99% เพื่อให้การใช้จ่ายด้านการศึกษารวมกว่า 8 แสนล้านบาท ก่อประสิทธิภาพสูงขึ้น สามารถลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้ตรงจุด
นอกจากนี้ กสศ.ยังมุ่งเน้นทำงานกับท้องถิ่น ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการปฏิรูปการศึกษาและบูรณาการทรัพยากรจากทุกแหล่งในพื้นที่ ในปี 2564 มีจังหวัดจากทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการนำร่อง จำนวน 20 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน ลำปาง น่าน แพร่ สุโขทัย พิษณุโลก ขอนแก่น มหาสารคาม สุรินทร์ อำนาจเจริญ อุบลราชธานี นครราชสีมา กาญจนบุรี นครนายก ระยอง สุราษฎร์ธานี ภูเก็ต ยะลา และสงขลา