วันที่ 28 ส.ค. 2566 ศรีโสภา โกฏคำลือ สส.เชียงใหม่ พรรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากการลงพื้นที่พบปะผู้ประกอบการธุรกิจเอสเอ็มอีพบว่าจากวิกฤติโควิด-19 ใน 2-3 ปีที่ผ่านมาส่ง ผลกระทบกับผู้ประกอบการระดับเอสเอ็มอีหลายแสนราย ทั้งลูกค้าหดหาย มีปัญหาด้านเงินทุน เพราะวิกฤติที่ยาวนานส่งผลให้เงินทุนที่มีสะสมไว้ต้อง หมดลง ดังนั้นจึงไม่แปลกใจที่ช่วง 3 ปีที่ผ่านมามีการประกาศปิดกิจการของ ผู้ประกอบการเป็นจำนวนมาก แม้รัฐบาลที่ผ่านมาจะมีมาตรการในการปล่อยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการแต่ผลที่ออกมาคือผู้ประกอบการเข้าไม่ถึงเงินกู้ แม้จะกู้ได้ก็ต้องยอมเสียกับดอกเบี้ย ที่สูงกว่าที่รัฐกำหนด ดังนั้นมาตรการที่รัฐบาลที่แล้วออกมาจึงเป็นการซ้ำเติม ผู้ประกอบการ มากกว่าช่วยเหลือด้วยความจริงใจ

ศรีโสภา กล่าวด้วยว่า จากการหารือผู้ประกอบการ คาดหวังว่าภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว ประกอบกับนโยบายพรรคเพื่อไทยที่จะผลักดันมาตราการพักชำระหนี้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ประสบภัยโควิด-19 1 ปี คู่ขนานไปกับการปรับโครงสร้างหนี้แบบเฉพาะเจาะจง พร้อมต่อยอดด้วย ชุดนโยบายของพรรคต่อไปจะเป็นมาตรการที่ต่อลมหายใจให้กับผู้ประกอบ การให้สามารถเข้าถึงแหล่งทุนและต่อยอดธุรกิจได้

“ทั้งนี้นโยบายในการส่งเสริมธุรกิจเอสเอ็มอี โดยเฉพาะวิสาหกิจชุน เพื่อ พัฒนาต่อยอดสินค้าโอทอป 5 ดาว สอดรับกับนโยบายสร้างรายได้หลักของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย การพลิกฟื้นการท่องเที่ยวปลุกเศรษฐกิจไทยที่หลับไหล พร้อมดึงรายได้จากต่างประเทศให้เข้าไทยให้มากที่สุด โดยรัฐบาลตั้งเป้า เพิ่มรายได้ท่องเที่ยวจาก 1.9 ล้านล้านบาทเพิ่มเป็น 3.3 ล้านล้านบาทในปี 2567 พร้อมพัฒนาและต่อยอดให้สินค้าโอทอปของวิสาหกิจชุมชนมีรายได้ต่อปีไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาทต่อปี ทั้งนี้หากสินค้าโอทอปขายดีจะส่งผลให้เศรษฐกิจในชุมชนทั่วประเทศดีขึ้นอย่างแน่นอน”ศรีโสภา กล่าว