ไม่พบผลการค้นหา
'ส.ว.สมชาย แสวงการ' อัด 'พิธา' ลั่นอย่าใช้ประชาธิปไตยฟุ่มเฟือย กดทับคนเห็นต่าง ชี้ ยังไม่เหมาะสมเป็นนายกฯ

วันที่ 13 ก.ค. ที่อาคารรัฐสภา ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภา ครั้งที่ 1 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) วาระโหวตเลือกผู้สมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี สมชาย แสวงการ ส.ว. อภิปรายตอนหนึ่งว่า ประเทศไทยปกครองระบอบประธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีการเลือกตั้ง ส.ส. เพื่อร่วมกันจัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ไม่ได้เป้นการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรง หรือเลือกนายกรัฐมนตรีโดยตรง เหมือนที่แก้ว 3 ประการที่เคลื่อนไหวอยู่ คือ กลุ่มบุคคลในสภา, มวลชนบนถนน, และโซเชียลมีเดียซึ่งเป็น 'กองทัพอวตาร' แก้วสามประการนี้กำลังบังคับ กดทับ บูลลี่ ว่านี่คือเสียงข้างมากที่ประชาชนเลือกแล้วและ ส.ว. ถูกบังคับว่าต้องเลือกด้วย

ก่อนหน้านี้ ส.ว. 23 ท่านได้ลงมติเห็นชอบแก้ไขยกเลิกมาตรา 272 ซึ่งเป็นอำนาจโหวตนายกฯ ของ ส.ว.ตามบทเฉพาะกาลในระยะ 5 ปีแรก ตามรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ผ่านประชามติมา 16 ล้านเสียง คำถามพ่วง 15.2 ล้านเสียง ส.ว.บางส่วนขอปิดสวิตซ์ตัวเอง เสมือนจะบวชเป็นพระตลอดชีวิต แต่คนกลุ่มหนึ่งก็ยังขุด อ้อนว้อน ข่มขู่ บูลลี่ ใช้สภาวะแวดล้อมต่างๆ ปลุก ส.ว.ขึ้นมาบอกว่าให้เปิดสวิตซ์โหวตพิธา ตนก็โดน ส.ว.โดนทุกคน

ขอยืนยันว่า 250 ส.ว.ได้รับการโปรดเกล้าให้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นผู้แทนปวงชนชาวไทยอย่างสมบูรณ์ มีสิทธิ์และคะแนนเสียงเช่นเดียวกัน ส.ส. ที่มาจากการเลือกตั้ง แม้เราจะมาจากการสรรหา และเลือกตั้งกันเองบางส่วน และสรรหากันอีกครั้งหนึ่งก็ตาม ฉะนั้น การทำหน้าที่วันนี้ของ ส.ว. จะกระทำด้วยการซื่อสัตย์ สุจริต ปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ และคำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ ซึ่งมีสถาบันหลัก คือชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์เป็นที่ตั้ง

วันนี้ผมสบายใจที่จะทำหน้าที่ตรงนี้โดยไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่ขอร้องว่า หลังจากเราเลือกวันนี้เสร็จแล้ว ไม่ว่าพิธาจะได้เป็นนายกฯ หรือไม่ก็ตาม เราเลิกอ้างเรื่องเสียงข้างมาก 14 ล้านคน แล้วบังคับคนทั้งประเทศว่าจะต้องเปิดสวิตท์ ส.ว. ให้เห็นด้วย และห้ามเห็นด้วยกับคนอื่นยกเว้นนายพิธาได้แล้ว อันนี้ผิดหลักประชาธิปไตย มันคือเผด็จการ ถ้าเลยจากนั้นไปก็เป็น อนาธิปไตย เราผ่านความขัดแย้งมานานแล้ว ตั้งแต่ พฤษภา 2535 จนปัจจุบัน วันนี้เราเดินเข้าสู่ครรลองประชาธิปไตยแล้ว อย่าใช้สังคมกดทับ อย่าใช้ประชาธิปไตยแบบฟุ่มเฟือย หรือประชาธิปไตยที่เลือกพวกข้าเท่านั้นที่ถูก เลือกพวกเอ็งผิด อย่างนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย

หากจะดูแนวทางของพรรคก้าวไกล ดูได้จากร่างแก้ไข ม.112 ที่เสนอโดย ส.ส.เพื่อพรรคก้าวไกลเมื่อปี 2564 แม้จะได้ถูกบรรจุเข้าวาระพิจารณา แต่ทางพรรคก้าวไกลก็ยืนยันว่าจะผลักดันต่อ หรือหากพรรคก้าวไกลจะไม่ยื่นกฎหมายแก้ไข ม.112 ก็อาจไปขยิบตาให้ภาคประชาชน เช่น ไอลอว์ยื่นกฎหมายเข้ามา หรือแม้กระทั่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญต้องกำหนดกรอบด้วยว่าไม่แก้ไขหมวด 1 หมวด 2 หรือจะไปจัดการกับองค์กรอิสระ ป.ป.ช. กกต. ศาลรัฐธรรมนูญ เพราะท่านไม่ถูกใจแบบนี้ไม่ได้

ในส่วนเรื่อง ICC ถามว่าทำไมประเทศไทยลงนามให้สัตยาบรรณไม่ได้ พิธาอธิบายไม่หมดที่ว่าประเทศที่มีระบบแบบเดียวกับเราก็เข้าร่วมมากมาย ต้องชี้แจงว่าเหตุที่กัมพูชาเข้าร่วมเพราะ ICC จัดการเรื่องเขมรแดง ญี่ปุ่นเข้าเพราะแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน อินเดีย ไม่เข้าร่วม ICC ดังนั้นต้องบอกประชาชนให้หมด

พิธามีคุณสมบัติที่จะโหวตให้เป็นนายกฯ หรือไม่ ต้องดูว่ามีความซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ มีความรอบรู้ มีวิสัยทัศน์ สามารถสร้างแรงบันดาลใจได้หรือไม่ มีองค์ประกอบด้านความมั่นคงทั้งด้านการเมือง และความมั่นคงของชาติ ดูแลเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความสงบเรียบร้อยได้หรือไม่ ตนยังมีความสงสัยในเรื่องการแสวงหาความจงรักภักดีต่อสถาบันเบื้องสูง ขอให้ตอบให้ชัดเจนว่าจะทำอย่างไร ไม่ว่าจะยกเลิกการแก้ไข ม.112 ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ยกเลิกการนิรโทษกรรมคดี ม.112

เรื่องความมั่นคงก็เห็นปัญหาการหาเสียงแบบฉาบฉวย ตอกย้ำประวัติศาสตร์บาดแผล ปลุกความเกลียดชัง มีคนของพรรคบางส่วนไปยุ่งเกี่ยวกับประชามติแบ่งแยกรัฐปาตานี ทั้งยังมีคณะบุคคลประสานงานแก้ว 3 ประการตลอดเวลา การนิรโทษกรรมมีวาระแอบแฝงเพื่อใครบางคนหรือไม่ มีการบิดเบือนด้อยค่าสถาบันผ่านสื่อสารธารณะ สื่อหนังสือในเครือ สื่อโซเชียล แล้วอ้างว่าเป็นการทำให้สถาบันสามารถอยู่ในศตวรรษที่ 21 ได้ ถามว่าสถาบันไปทำอะไรให้ท่านทำไมต้องไปปฏิรูป นอกจากนั้นยังใช้วาทกรรมข่มขู่คนเห็นต่าง ใครเห็นต่างไม่เป็นฝ่ายประชาธิปไตย ถ้าเดินการเมืองสุดโต่งอาจเกิดการชักศึกเข้าบ้านของมหาอำนาจตะวันตก กระทบพื้นที่ชายแดน ไม่ว่าเมียนมาร์ กัมพูชา และอื่นๆ ในฐานะสมาชิกวุฒิสภา พิจารณาแล้วเห็นว่า พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ยังไม่เหมาะสมเป็นนายกฯ