เมื่อปี 2560 โมฮัมหมัด โมฮีดิน อานิส ในวัย 70 ปี นั่งอยู่บนเตียงของบ้านหรูที่พังทลายจากสงครมกลางเมืองซีเรีย โมฮัมหมัดนั่งสูบไปป์พร้อมเปิดแผ่นเสียง ก่อนมองออกไปนอกหน้าต่าง สายตาของเขาทอดผ่านถนนที่เคยสวยงาม ย่านอัลชาร์ของกรุงอเลปโปไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป หลังจากเกิดสงครามความขัดแย้งระหว่างกลุ่มต่อต้านและรัฐบาลซีเรีย รวมถึงกลุ่มก่อการร้ายรัฐอิสลาม ตลอดจนรัสเซียและสหรัฐฯ ที่เข้ามามีส่วนร่วมในสงครามครั้งก่อนนั้น
โมฮัมหมัด หรือที่รู้จักกันในอีกชื่อว่า อาบู โอมาร์ ในชุดซอมซ่อ เขาเคยเป็นเศรษฐีนักธุรกิจผู้ผลิตเครื่องสำอางและนักสะสมของเก่า กิจกรรมโปรดของโมฮัมหมัดคือการสะสมรถหรูเก่าย้อนยุคจำนวนมาก อย่างไรก็ดี ของสะสมอันเป็นที่รักของเขาถูกระบิดและกระสุนปืนทำลายล้างจนหมดสิ้น “เมื่อรถคันหนึ่งของผมถูกยิง มันเหมือนกับว่าผมหรือญาติของผมคนหนึ่งถูกยิงไปด้วย” โมฮัมหมัดให้สัมภาษณ์ในปี 2560 นึกย้อนถึงวันที่รถสะสมของเขาถูกทำลายจากสงครามกลางเมือง
“ผมคิดว่าคนสมัยนี้เบื่อหน่ายกับสงครามและความรุนแรงแล้ว อย่างน้อยๆ ก็เริ่มจากที่ผม” โจเซฟ อีด ช่างภาพถ่ายสงครามระบุกับ AFP ก่อนที่จะมีคำถามถามโจเซฟว่าเพราะเหตุใด ภาพนั่งสูบบุหรี่ฟังเพลงของโมฮัมหมัดถึงเข้าไปอยู่ในใจคนทั้งโลกได้ “ผู้คนต่างต้องการความสงบสุข ผู้คนต่างต้องการข้อความแห่งความหวัง พวกเขาต้องการแสงสว่าง และพวกเขาต้องการบางสิ่งบางอย่างที่เข้ามาสัมผัสจิตวิญญาณของพวกเขา”
เวลาผ่านมาแล้ว 5 ปี อเลปโปยังไม่ฟื้นคืนจากผลพวงของสงครามกลางเมืองซีเรีย บ้านเมืองที่สวยงาม โบราณสถานพันปีต่างถูกทำลายย่อยยับ มิหนำซ้ำสงครามของมวลมนุษยชาติยังคงไม่ไปไหน แต่กลับเดินทางไกลมาเคาะที่ประตูของยุโรป มนุษยชาติยังตกอยู่ในวังวนของสงคราม ถึงแม้ว่าหลายคนจะเชื่อว่าพวกเรามีความสงบสันติที่ยาวนานมากกว่า 80 ปี แต่แท้ที่จริงแล้ว ยังมีผู้คนจำนวนมากในหลายพื้นที่ที่ถูกลืมที่ต่างต้องรับผลกรรมที่พวกเขาไม่ได้ก่อจากสงครามของผู้มีอำนาจ
โมฮัมหมัดขึ้นเครื่องบินหนีออกจากซีเรียไปสองสัปดาห์ ก่อนที่รัฐบาลซีเรียจะสามารถเข้ายึดพื้นที่อัลชาร์กลับคืนมาได้ โมฮัมหมัดได้กลับมาเยือนบ้านของเขาอีกครั้งแต่การกลับมาในครั้งนี้ไม่เหมือนกับการกลับบ้านในทุกๆ ครั้ง “เมื่อผมกลับมาถึง และผมเห็นสิ่งที่เหลือจากตัวบ้าน ผมตกตะลึงไปหมด” โมฮัมหมัดระบุกับ AFP ถึงเหตุการณ์ในวันนั้น
รถสะสมของโมฮัมหมัดถูกทำลาย ขโมย และถูกยึดโดยทางการของเมืองอเลปโป บ้านหรูของเขาที่เคยสวยสดงดงามพังทลายลงจนเหลือแค่ซากอิฐดินปูน อย่างไรก็ดี เครื่องเล่นแผ่นเสียงตัวเก่าของเขายังคงอยู่ในสภาพที่ปลอดภัยดี โมฮัมหมัดเลือกแผ่นเสียงเพลงภาษาอาหรับแผ่นเก่า ที่บรรเลงเพลงจาก “ยุคทองของโลกอาหรับ” กลับมาเปิดใหม่ หลังจากที่เขาเคยฟังเมื่อครั้งผู้เป็นปู่ของตนเปิดเมื่อเวลาพักผ่อน
“ผมไม่สามารถฟังเพลงโดยไม่ดูดไปป์นี้ได้” โมฮัมหมัดหยิบไปป์ของเขาขึ้นจุดไฟใส่ใบยาแล้วสูบ พร้อมฟังเพลงที่ถูกเล่นผ่านเครื่องเล่นแผ่นเสียงที่รอดตายมาจากสงครามกลางเมือง “ถึงแม้ว่าจิตวิญญาณของเขาจะแตกสลาย จิตวิญญาณของชายคนนี้ได้แตกสลาย และเขายังคงสู้ กำลังสู้ และเขาไม่ต้องการจะยอมแพ้” โจเซฟกล่าวถึงโมฮัมหมัดในรายงานข่าวของเขา
โมฮัมหมัดสัญญากับโจเซฟว่า เขาจะสร้างบ้านของตนเองกลับมาให้สวยงามอีกครั้ง อย่างไรก็ดี ตั้งแต่ปี 2560 ยังคงไม่มีรายงานความคืบหน้าถึงชีวิตความเป็นอยู่ของโมฮัมหมัดในตอนนี้ว่าเขาเป็นอย่างไรบ้าง บ้านของเขาสร้างไปถึงไหน อเลปโปฟื้นคืนจากสงครามไปได้มากน้อยแค่ไหนยังยากเกินกว่าจะประเมิน แต่สงครามที่ไม่ว่าจะเกิดขึ้นในที่ใด ก็ต่างได้ทำให้จิตวิญญาณของผู้ประสบภัยแตกสลายไร้ชิ้นดี ถึงแม้ว่ามนุษยชาติจะยังคงมีความหวังว่าวันพรุ่งนี้จะดีขึ้นก็ตาม
ที่มา: