วันที่ 2 มิ.ย. กลุ่มพันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง องค์กรภาคประชาสังคมในลุ่มน้ำโขงจาก ไทย ลาว กัมพูชาและเวียดนาม ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้รัฐบาล 4 ประเทศ เจ้าของแม่น้ำโขง และคณะกรรมาธิการลุ่มน้ำโขง ทบทวนด้านพลังงานของภูมิภาคแทนเขื่อนไฟฟ้าที่สร้างผลกระทบ ชี้รายงานการศึกษาผลกระทบคัดลอกมาจากรายงานของเขื่อนปากลายและปากแบง
แถลงการณ์ระบุว่า เขื่อนสานะคามไม่ควรจะถูกสร้างเพราะมีมูลค่าการก่อสร้างสูง ไม่มีความจำเป็น และมีความเสี่ยง ผลิตไฟฟ้าได้ 684 เมกะวัตต์ มีค่าก่อสร้างกว่า 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้เวลาก่อสร้างกว่า 8 ปี หากเฉลี่ยเวลาในก่อสร้างแล้วเขื่อนจะติดตั้งพลังงานได้เพียง 90 เมกะวัตต์ต่อปีเท่านั้น เมื่อเทียบกับการติดตั้งพลังงานทางเลือกอื่นในภูมิภาค เช่น การติดตั้งพลังงานพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนามพบว่า เฉพาะเดือน เม.ย. -ก.ค. มีกำลังการผลิตติดตั้งมากถึง 4,400 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่าเขื่อนสานะคามถึง 6 เท่า
การสร้างเขื่อนไฟฟ้าขนาดใหญ่ เช่นเขื่อนสานะคาม มีความเสี่ยงมากขึ้น ใช้เวลาก่อสร้างนาน ใช้เงินลงทุนสูง และจะกลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างภาระ ความเสี่ยงต่าง ๆ นี้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศและการสร้างเขื่อนที่กั้นแม่น้ำโขงในตอนบน ซึ่งจะทำให้การไหลและระดับน้ำไม่สามารถคาดการณ์ได้อันส่งผลกระทบต่อการผลิตไฟฟ้าของเขื่อนสานะคามและเขื่อนอื่น ๆ บนแม่น้ำโขงสายหลัก
พันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขงขอเรียกร้องให้ยกเลิกเขื่อนสานะคามและเขื่อนแม่น้ำโขงสายหลักอื่นที่มีแผนจะสร้าง แทนที่จะมีการนำโครงการนี้เข้าสู่กระบวนการปรึกษาหารือที่บกพร่องนี้
เราขอเรียกร้องต่อรัฐบาลประเทศแม่น้ำโขงและคณะกรรมธิการแม่น้ำโขง ให้จัดการปัญหาตามข้อกังวลหลักต่อเขื่อนที่สร้างไปแล้ว ประเมินทางเลือกด้านพลังงานอย่างรอบด้านและโดยการมีส่วนร่วม จัดลำดับความสำคัญของการเดินหน้าเพื่อการเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานในภูมิภาค ที่คำนึงถึงระบบนิเวศของแม่น้ำโขงและความต้องการของชุมชนในภูมิภาค (3) จัดการปัญหาตามข้อกังวลหลักต่อกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า
กลุ่มพันธมิตรปกป้องแม่น้ำโขง กล่าวว่า เราไม่จำเป็นต้องเอาแม่น้ำโขงมาแลกกับความต้องการด้านพลังงานและน้ำของภูมิภาค เพราะไทยซึ่งเป็นประเทศหลักที่จะรับซื้อไฟฟ้ามีพลังงานสำรองที่ล้นเกิน เมื่อเมษายน 2563 กระทรวงพลังงานของไทยระบุว่าในปี 2563 เรามีพลังงานสำรองที่อาจสูงมากถึง 40 % หรือประมาณ 18,000 เมกะวัตต์ ซึ่งมากกว่ากำลังการผลิตของเขื่อนแม่น้ำโขงสายหลักทุกแห่งรวมกัน
ขณะที่ มี.ค. 2563 กัมพูชาได้ประกาศเลื่อนการสร้างเขื่อนซำบอและสตรึงเตร็งออกไปอีก 10 ปี ถึงเวลาแล้วที่ต้องยกเลิกการสร้างเขื่อนแม่น้ำโขงอย่างถาวร และให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและเท่าเทียมกันด้านพลังงานทางเลือกที่เคารพสิทธิของชุมชน ภูมิภาคแม่น้ำโขงมีศักยภาพและความยั่งยืนด้านพลังงานทางเลือกสูงมาก ประกอบกับต้นทุนและการผลิตที่ลดลง เทคโนโลยีด้านการกักเก็บและการส่งผ่านพลังงานที่พัฒนาขึ้น ยิ่งทำให้ต้องตะหนักถึงการเข้าถึงพลังงานและความมั่นคงของประชาชนและเศรษฐกิจของภูมิภาค โดยไม่ต้องทำลายแม่น้ำและทรัพยากรธรรมชาติ มากกว่านั้น มาตรการประหยัดพลังงานและพลังงานทางเลือกที่ไม่ใช่เขื่อนยังสามารถเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง รวดเร็ว และมีต้นทุนถูกกว่าเขื่อนไฟฟ้าขนาดใหญ่ที่รวมศูนย์อำนาจ
นอกจากนี้ยังระบุประเด็นสำคัญอีกว่า ปัญหาและข้อบกพร่องร้ายแรงในกระบวนปรึกษาหารือของข้อตกลงแม่น้ำโขงที่มีการจัดมาแล้วนั้น ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะประเด็นการรับรองคุณภาพของข้อมูลที่ส่งไปเพื่อขอให้มีการจัดกระบวนการปรึกษาหารือนั้น ทางกลุ่มพันธมิตรฯ พบว่า เนื้อหารายงานส่วนมากของรายงานผลกระทบข้ามพรมแดนด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม และผลกระทบสะสมของเขื่อนสานะคามถูกคัดลอกมาจากรายงานของเขื่อนปากลาย ซึ่งผู้เชี่ยวชาญของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงก็พบว่า “รายงานของเขื่อนปากลายนั้นลอกข้อมูลจากเขื่อนปากแบงเป็นส่วนมาก” ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ข้อบกพร่องนี้ไม่ได้รับการแก้ไขและถูกเพิกเฉยจากบริษัทที่ปรึกษาและนักวิจัยที่มีส่วนเกี่ยวข้องในฐานะผู้จัดทำนั้น ในอนาคตกลุ่มเหล่านี้ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวกับการประเมินผลกระทบต่างๆ อีกในอนาคต
ทางกลุ่มขอย้ำว่า หากไม่มีการปฏิรูปที่สำคัญ ก็ไม่มีอะไรที่จะแสดงให้เห็นว่ากระบวนการปรึกษาล่วงหน้าที่จะเกิดขึ้นนี้จะต่างจากที่เคยทำมามากนัก หรือจะสามารถรองรับมาตรฐานขั้นต่ำของความโปร่งใสและความรับผิดชอบ ไม่ต้องพูดถึงความสำคัญของการมีส่วนร่วมของชุมชนผู้จะได้รับผลกระทบ ภาคประชาสังคม และสาธารณะชน
ขณะเดียวกัน สำนักข่าว Nikei ASEAN Review (01/05/2020) วิเคราะห์ว่า รัฐบาลลาวกำลังเผชิญภาวะหนี้สินจากการกู้ยืมเงินกองทุนของรัฐบาลจีน ขณะนี้รัฐบาลลาวกำลังประเมินท่าทีว่าจะจัดการขายกองทุนของรัฐบาลหรือไม่ ธนาคาร Societe Generale ของฝรั่งเศลระบุว่า 80 เปอร์เซ็นต์ ของหนี้เมื่อปี 2562 ของลาวมามีผลจากสกุลเงินตราต่างประเทศและถูกควบคุมจากภายนอกและเกือบครึ่งหนึ่งของหนี้สาธารณะนั้นเป็นของจีนอย่างเดียว ร่องรอยการลงทุนของเศรษฐกิจจีนที่ปรากฎในลาว เช่นการลงุทนโครงการรถไฟความเร็วสูงมูลค่า 6 พันล้านเหรียญสหรัฐ การสร้างเขื่อนขนาดเล็กและใหญ่บนแม่น้ำต่างๆ การลทุนในเขตเศรษฐกิจพิเศษต่างทั่วประเทศของลาว การทำถนนไฮเวย์จากคุนหมิง-เวียงจันทร์ที่ลาวถือหุ้น 30 เปอร์เซ็นต์ และลาวต้องจ่ายเงินงวดแรกจำนวน 250 ล้านเหรียญสหรัฐในปีนี้ผ่านกองทุนกู้ยืมดอกเบี้ยต่ำของจีน ลาวยังมีการสร้างเขื่อนทั้งขนาดเล็กและใหญ่ทั่วประเทศ รวมถึงแผนการสร้างเขื่อนบนแม่น้ำโขงสายหลัก โดยคาดว่าในลาวจะมีเขื่อนผลิตไฟฟ้ามากถึง 400 แห่งทั่วประเทศ
แกรี่ ลี ผู้อำนวยการรณรงค์ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ องค์กรแม่น้ำสากลกล่าวว่า เขื่อนไฟฟ้าขนาดใหญ่ ใช้เงินกู้ลงทุนมหาศาล การเพิ่มขึ้นของเขื่อนไฟฟ้าในลาวยิ่งจะทำให้เกิดภาระหนี้สินบานปลายและกลายเป็นความกดดันของประเทศ
นางเปรมฤดี ดาวเรือง ผู้ประสานงานกลุ่มติดตามการลงทุนเขื่อนในลาวกล่าวว่า แม้กรณีโครงการเขื่อนเซเปียนเซน้ำน้อย รัฐบาลลาวก็ต้องทำสัญญากู้ยืมเงินจากธนาคารส่งออกและนำเข้าของเกาหลีใต้เพื่อมาเป็นหุ้นส่วนในโครงการดังกล่าว ซึ่งนับเป็นหนี้ตั้งแต่เริ่มต้นของโครงการแล้ว
อนึ่ง โครงการเขื่อนสานะคาม มีกำลังการผลิต 684 เมกะวัตต์ ตั้งอยู่เมืองสานะคาม แขวงเวียงจันทร์ สปป.ลาว ผู้พัฒนาโครงการคือ บริษัท ต้าถัง โอเวอร์ซี พาวเวอร์จำกัด สัญชาติจีน ซึ่งเป็นบริษัทเดียวกับผู้พัฒนาโครงการเขื่อนปากแบง ในแขวงอุดมไซย สปป.ลาว เขื่อนมีเป้าหมายที่ผลิตไฟฟ้าเพื่อขายให้กับประเทศไทย รัฐบาล สปป.ลาวในฐานะเจ้าของโครงการได้ส่งเอกสารต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง เพื่อขอให้มีการจัดกระบวนการปรึกษาหารือล่วงหน้า ตามข้อตกลงแม่น้ำโขงปี 2538 เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 2563 ที่ผ่านมา
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :