นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2563 ยังคงปกคลุมไปด้วยความไม่ชัดเจน ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา ประกอบกับสภาวะตลาดที่บรรยากาศโดยรวม (sentiment) ยังไม่คึกคักนัก
โดยในปี 2562 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขาย (booking) รวมไว้ที่ 3.3 หมื่นล้านบาท แต่เมื่อปิดสิ้นปีพบว่า ทำรายได้ยอดขายได้ที่ 2.5-2.6 หมื่นล้านบาท ซึ่งนับว่าต่ำกว่าเป้าหมายมากถึงร้อยละ 27-32 และเป็นการลดลงในทุกกลุ่มราคา (segment) ซึ่งบริษัทมีสินค้าเป็นที่อยู่อาศัยตั้งแต่ราคา 2-4 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 19 ราคา 4-10 ล้านบาท ร้อยละ 38 และมากกว่า 10 ล้านบาท ร้อยละ 43 แบ่งเป็นที่อยู่อาศัยประเภทบ้านเดี่ยวร้อยละ 76 ทาวน์เฮาส์ร้อยละ 9 และคอนโดมิเนียมร้อยละ 15 แบ่งเป็นโครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ร้อยละ 91 ต่างจังหวัดร้อยละ 9
ส่วนปี 2563 ตั้งเป้าหมายยอดขายรวมไว้ที่ 2.8 หมื่นล้านบาท โดยคาดว่าที่พักอาศัยในกลุ่มราคามากกว่า 10 ล้านบาท มีสัดส่วนเพิ่มเป็นร้อยละ 48 ขณะที่กลุ่มราคา 4-10 ล้านบาท สัดส่วนลดลงเป็นร้อยละ 36 และกลุ่มราคา 2-4 ล้านบาท สัดส่วนร้อยละ 16 และยังคงมีประเภทบ้านเดี่ยวและบ้านแฝดเป็นกลุ่มใหญ่คือร้อยละ 73
พร้อมกันนี้ มีแผนจะเปิดโครงการใหม่ในปี 2563 จำนวน 16 โครงการ มูลค่ารวม 28,440 ล้านบาท แบ่งเป็น บ้านเดี่ยวและบ้านแฝด 14 โครงการ ทาวน์เฮาส์ 3 โครงการ ส่วนคอนโดมิเนียม ไม่มีการเปิดโครงการใหม่
"เราชะลอเปิดคอนโดมิเนียมโครงการใหม่ ในย่านใจกลางเมืองหรือ CBD มาตั้งแต่ปลายปี 2561 เนื่องจากประเมินสถานการณ์ของซัพพลาย และสินค้าคงค้างในตลาดที่ยังสูง ซึ่งเป็นปัจจัยที่เห็นชัดเจนเป็นอันดันต้น" นายนพร กล่าว
พร้อมอธิบายเพิ่มเติมว่า ส่วนปัจจัยเรื่อง sentiment หรือสภาวะอารมณ์ บรรยากาศของตลาดเป็นเรื่องรองลงมา เนื่องจากดีมานด์ (ความต้องการซื้อ) ตลาดคอนโดมิเนียมมาจาก 3 ด้าน ได้แก่ ซื้อเพื่ออยู่อาศัยจริง ซื้อเพื่อการเก็งกำไร และซื้อเพื่อปล่อยเช่าลงทุน ซึ่งด้วยปัจจัยทั้งเรื่องซัพพลาย เซนติเมนต์ และกฎระเบียบทางการ ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อและยอดขายของผู้ประกอบการ ดังนั้นบริษัทจึงคาดว่ากว่าตลาดจะระบายคอนโดฯ สร้างเสร็จที่ค้างสต็อกออกไปได้หมด คงต้องใช้เวลาเกินกว่า 2 ปีแน่นอน
ส่วนโครงการบ้านแนวราบที่บริษัทจะเปิดใหม่ 16 โครงการ แบ่งเป็น โครงการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล 13 โครงการ ต่างจังหวัด มี 3 โครงการ ได้แก่ อยุธยา ภูเก็ต และเชียงใหม่ ไม่มีโครงการใหม่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเลย เนื่องจากมองว่า เศรษฐกิจในระดับภูมิภาคพึ่งพารายได้การเกษตร และเมื่อราคาสินค้าเกษตรไม่ดีขึ้น ก็ย่อมกระทบกับภาคเอสเอ็มอี ค้าปลีก และกระทบกับกำลังซื้อ อีกทั้งในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ตลาดต่างจังหวัดไม่เติบโตเลย
"ก็ต้องยอมรับว่าโดยโครงสร้างรายได้ของประเทศไทย รวยกระจุก จนกระจาย และตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันแลนด์ฯ ทำตลาดที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลางถึงบน ซึ่งสำหรับผู้ซื้อบ้านหลังแรกในตลาดบ้านราคากลางๆ ก็จะดูเรื่องความสามารถในการซื้อ ความสามารถที่จะผ่อนชำระ ดูทิศทางรายได้อนาคต ส่วนในตลาดที่อยู่อาศัยราคา 10 ล้านบาทหรือ 100 ล้านบาทขึ้นไป คนซื้อกลุ่มนี้มีความสามารถในการซื้ออยู่แล้ว รู้ว่าแหล่งรายได้ในอนาคตจะมาจากไหน เป็นกลุ่มนักธุรกิจ แต่ปัจจัยการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจะอยู่ที่ sentiment มากกว่า เพราะเขาไม่ต้องรีบซื้ออยู่แล้ว คือ ถ้าเซนติเมนต์ดี เห็นแล้วถูกใจ การตัดสินใจซื้อจะเร็วขึ้น คือตอนนี้ ลูกค้ากลุ่มนี้ มาดูโครงการไม่ได้ลดลง แต่จะตัดสินใจซื้อหรือไม่ ก็ต้องโน้มน้าวมากหน่อย" นายนพร กล่าว
ดังนั้น สำหรับการประกอบธุรกิจของบริษัทในปี 2563 จึงต้องหันกลับมาดูแลตัวเองมากขึ้น ทำงานด้านการปรับปรุงและพัฒนาประสิทธิภาพ ระบบการทำงาน การดูแลต้นทุน เพราะไม่สามารถควบคุมปัจจัยหรือข้อมูลภายนอกได้ แต่สิ่งที่ทำได้คือไม่ต้องไปสนใจข่าวร้ายมากนัก แล้วหันกลับมาดูแลตัวเอง ดูแลธุรกิจในด้านการพัฒนาประสิทธิภาพ ส่วนการขยายตัวก็ทำเท่าที่ทำได้
"อย่าไปตระหนกกับปัจจัยภายนอก มองตัวเอง และทำงานของตัวเอง เราจะไม่สนใจข่าวร้าย แต่จะปรับปรุงตัวเอง ดูแลธุรกิจที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพ ทั้งธุรกิจให้เช่า การบริหารรายได้จากการนำสินทรัพย์เข้ากองทุนด้านอสังหาฯ ต่างๆ และการปรับปรุงดีไซน์ คุณภาพสินค้า ระบบงาน การควบคุมดูแลต้นทุน" นายนพร กล่าว
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการผู้จัดการ (สายสนับสนุน) บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวว่า ปี 2562 ที่่ผ่านมา บริษัทมีรายจ่ายด้านการลงทุนประมาณ 6,500 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้าที่ตั้งไว้ 7,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนสำหรับซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท ลงทุนในธุรกิจอสังหาฯ เพื่อการเช่า 1,500 ล้านบาท
ส่วนปี 2563 บริษัทเตรียมเงินลงทุนไว้ที่ 11,000 ล้านบาท หรือเพิ่มจากปีก่อนหน้าร้อยละ 69 แบ่งเป็น การลงทุนเพื่อซื้อที่ดินพัฒนาที่อยู่อาศัย 7,000 ล้านบาท ลงทุนอสังหาฯ เพื่อให้เช่า 4,000 ล้านบาท
นายวัชริน กสิณฤกษ์ กรรมการผู้จัดการสายปฏิบัติการ บมจ. แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ กล่าวเสริมว่า ในปี 2562 ตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวมในกลุ่มบ้านที่จดทะเบียนเพิ่มที่รวมทั้งสร้างเองและเป็นบ้านจัดสรร (ตัวเลขประมาณการ) มีจำนวน 109,620 หน่วย เทียบกับปีก่อนหน้าลดลงร้อยละ 15.7 ซึ่งในจำนวนนี้พบว่า คอนโดมิเนียมลดลงมากถึงร้อยละ 29.8 มาอยู่ที่จำนวน 50,760 หน่วย จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 72,338 หน่วย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง :