วันที่ 22 ก.ค.2565 ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร พิจารณาญัตติขอเปิดอภิปราทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล จำนวน 11 คน เป็นวันที่สี่ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย จิรายุ ห่วงทรัพย์ ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย อภิปราย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในหัวข้อ มหากาพย์การปล้นชาติกินเมือง นายกรัฐมนตรี รองนายกฯ รัฐมนตรี ปลัดกระทรวง อธิบดี สวาปามทั้งดิน น้ำ ลม ไฟ ปล่อยให้คนแวดล้อมทุจริตประพฤติมิชอบอย่างกว้างขวาง แต่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็เท่ากับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ถือว่าผิดกฏหมาย เมื่อพบการทุจริตก็เอื้อพวกพ้องในกระบวนการตรวจสอบ ตั้งพรรคเดียวกันสอบกันเอง
เรื่องทรัพยากรน้ำ นายกฯ แต่งตั้ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ดูแลจัดการ แต่กลับพบการลักไก่ทุจริตงานจ้างผลิตบรรจุภัณฑ์น้ำบาดาล โดยประกาศยกเลิกการจัดซื้อจากส่วนกลางไป 2 ครั้ง หลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อต้นปี 2565 อีกทั้งงบประมาณจากส่วนกลาง 33 ล้านบาท เพื่อจัดซื้อขวดน้ำ จ.สุพรรณบุรี ได้ไปถึง 4.476 ล้านบาท เมื่อสำรวจแล้วกลับพบว่าราคาสูงกว่าราคาเฉลี่ย เนื่องจากเปลี่ยนบริษัท และเมื่อวันที่ 18 ก.ค. ที่ผ่านมา ได้มีการขนขวดมาไว้ที่กรมทรัพยากรน้ำ จตุจักร
“เมื่อวานนี้ข่าวรั่วว่าผมจะอภิปราย ปรากฏว่ามีคนโยกย้ายเปลี่ยนทิศ ขวดน้ำหายวับไปกับตาเมื่อเช้านี้แล้ว ผมให้คนขับรถไปดูที่กรมฯ บอกว่า เขารู้ว่าท่านจะอภิปรายเรื่องนี้ เขาย้ายแล้ว พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ประวิตร นี่แค่น้ำจิ้มนะ 33 ล้านบาท สิวๆ ยังเอากันแบบนี้เลย”
ทั้งนี้ ยังพบว่ามีโครงการที่เร่งรัดการดำเนินการอย่างเร็วผิดปกติ คือโครงการจัดซื้อจัดจ้างของปีงบประมาณ 2566 ที่เริ่มกระบวนการใน ก.ค. 2565 รวมมูลค่า 1.8 พันล้านบาท กว่า 10 โครงการ ซึ่งรีบทำไปก่อนปีงบประมาณ ทั้งที่ไม่ใช่โครงการเร่งด่วนฉุกเฉินและรอได้ สภาก็ยังอยู่ระหว่างการพิจารณางบฯ ยังไม่ทันผ่านวาระ 2-3 ส่อเจตนาทำผิด พ.ร.บ.งบประมาณฯ หรือไม่ เมื่อตรวจย้อนหลังในอดีตแล้ว ไม่เคยปรากฏว่ามีใครทำแบบนี้มาก่อน
สำหรับปัญหาค่าครองชีพแพง โดยเฉพาะค่าน้ำ ค่าไฟ และค่าน้ำมัน ที่รัฐบาลได้ออกมาตรการลดค่าครองชีพ ซึ่งมีข้อหนึ่งได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนประหยัดพลังงาน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ระหว่างที่จิรายุอภิปรายวิกฤตราคาพลังงานได้หยิบพัดออกมาแจกจ่าย ส.ส.พรรคเพื่อไทย ถึงวิธีประหยัดพลังงาน จากนั้นพร้อมหยิบเอาเตาอั้งโล่มหาเศรษฐีขึ้นมาแบกโชว์กลางสภาฯ โดยป้ายสนับสนุนโดยกระทรวงพลังงานที่เขียนว่า เตาเศรษฐีใช้แล้วดี มีแล้วรวย ขึ้นมาประกอบการอภิปราย พร้อมทั้งนำตั้งวางให้เห็นอีกด้วย เช่นเดียวกับปัญหาราคาน้ำมันที่สูงขึ้น เนื่องจากไม่มีการเจรจาอย่างจริงจังกับโรงกลั่น ทำให้ค่าการตลาดเสมอตัวมาตลอด
“ไตรมาสแรกปีนี้ โรงกลั่นน้ำมันที่ขายให้คนไทยทุกวันนี้ แล้วบวกภาษีมูลค่าเพิ่ม บวกกองทุน บวกค่าการตลาด บวกสารพัดบวก ไปจนถึงหน้าปั๊ม 3 เดือนแรก กำไรสูงกว่าทั้งปีของโลก ไหนล่ะจะเจรจาลด ไปโทษรัสเซีย-ยูเครน อีกแล้ว เหมือนเวลาทำอะไรไม่ได้ก็โทษ ทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี” จิรายุ ระบุ
“ค่ากลั่นที่ประเทศไทยแพงกว่าที่สิงคโปร์ แปลกนะ ทั้งที่กลั่นอยู่แถวๆ แหลมฉบังเนี่ย แต่ทำไมแพงกว่าสิงคโปร์ สมัยก่อนมันคิดค่าขนส่งไง สมัยนี้ไม่ได้คิดแล้ว แต่ก็ยังรวมอยู่ ท่านนายกฯ รู้ไหม จิรายุ ก็ไม่ได้เก่งนะ แต่เผอิญศึกษาหาความ ก็เลยพอรู้ เลยถึงบางอ้อว่า มันขายคนต่างประเทศ รวยกว่า คนไทยก็ให้มันซวยไป ใครจะกินกะเพราไก่จานละ 50 บาท ฝันไปเถอะ 50 บาท ไข่ดาวอีก 10 ก็พลังงานขึ้นทุกอย่าง พ่อค้าแม่ขายก็ต้องขึ้น ประชาชนได้เงินเดือนเท่าเดิม ซวยสิครับ”
จิรายุ ยังเผยว่า สาเหตุที่ค่าไฟกำลังจะขึ้นราคา เป็นเพราะเหตุใดทั้งที่ประเทศไทยมีแท่นขุดเจาะแก๊สธรรมชาติเป็นของตัวเองที่อ่าวไทย แต่เพราะไทยมีข้อพิพาทระหว่างบริษัทน้ำมันของสหรัฐอเมริกาและฝรั่งเศส เป็นเหตุให้ไม่สามารถขุดเจาะก๊าซธรรมชาติขึ้นมาใช้ผลิตพลังงานไฟฟ้าได้ และไทยยังต้องเสียค่าทนายในการว่าความกับข้อพิพาทในชั้นอนุญาโตตุลาการไปกว่า 500 ล้านบาท ขณะนี้จึงต้องนำเข้าแก๊สจากต่างประเทศเข้ามา
“นี่แค่ค่าจ้างทนายนะ ไม่รู้จะโดนอีกเท่าไหร่ ทุกวันนี้ก็ขุดก๊าซธรรมชาติจากเอราวัณ แต่บงกชไม่ได้ ประชาชนรู้ไหมว่าทำไมค่าไฟแพง โอ๊ย เป็นค่า FT ค่าอะไร ชาวบ้านถาม อย่าไปสนใจเลยเป็นค่าโง่ของคน ย่อมาจาก stupid”
จิรายุ ยังเผยว่า บริษัท PTGC ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นของรัฐบาล ใช้เงินคนไทยเข้าเทคโอเวอร์บริษัท Allnex Holding ของประเทศเยอรมัน มูลค่า 1.48 แสนล้านบาท และบวกค่านายหน้าไปอีก 4.4 พันล้านบาท แต่ตนทราบมาว่าบริษัทดังกล่าวอยู่ในสภาพย่ำแย่มานาน เสียความน่าเชื่อถือในแถบสหภาพยุโรปแล้ว จึงมาขายให้ประเทศไทย และปรากฏว่า ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องคือ สุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะอดีตประธานบริหาร PTGC
นอกจากนี้ เมื่อคราวที่ สุพัฒนพงษ์ เป็นประธานฯ PTGC เกิดคดีโกงน้ำมันปาล์มหาย 2.1 พันล้านบาท โดยบริษัทลูกของ PTGC แต่ได้ปิดเงียบไว้ ดังนั้น การที่นายกฯ จะมาทำหล่อ ว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริต แต่กลับอยู่เฉยๆ ดูดายกับการทุจริตของคนแวดล้อมในรัฐบาล จึงเป็นเหตุให้ตนไม่สามารถไว้วางใจนายกรัฐมนตรีได้ ที่เอาคนอย่าง สุพัฒนพงษ์ มาบริหารพลังงาน
“การอภิปรายไม่ไว้วางใจ ไม่จำเป็นต้องมีใบเสร็จชัดเจนว่าทุจริตอะไร เพียงแค่ยืนเฉยๆ แล้วไม่ห้ามปราม ก็ถือว่ามีความผิดตามประมวลกฏหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความอาญาฯ เรื่องพลังงาน เรื่องเงินทองของชาติ ผมเชื่อว่าบ้านเราบุญมี กรรมก็มี บางเรื่องท่านทำไปแล้วไม่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เบาได้ก็เบาเถิดครับ เพราะเดี๋ยวนี้คนเกษียณ 60 ปี ก็ยังปึ๋งปั๋งอยู่ ก็ต้องเตรียมเสบียง ข้าราชการ 60 ปีวางแผน แต่เอาเบาๆ หน่อยเถิดพ่อคุณเอ๊ย” จิรายุ กล่าว