คุนเดอราหนีออกบ้านเกิดไปฝรั่งเศสในปี 2518 หลังจากเขาถูกขับออกจากพรรคคอมมิวนิสต์เชคโกสโลวาเกีย เพราะ "กิจกรรมต่อต้านคอมมิวนิสต์" ก่อนที่คุนเดอราจะได้ใช้ชีวิตลี้ภัยในกรุงปารีสเป็นเวลากว่า 40 ปี ทั้งนี้ เขาเคยถูกเพิกถอนสัญชาติเช็กในปี 2522
คุนเดอรามีผลงานเขียนที่โด่งดังมากมาย รวมถึง Nesnesitelná lehkost bytí (ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิต) ก่อนที่คุนเดอราจะละทิ้งการเขียนนวนิยายในภาษาเช็ก และหันมาเขียนนวนิยายในภาษาฝรั่งเศส โดยเริ่มจาก La Lenteur (แช่มช้า) ในปี 2537 และนวนิยายเรื่องสุดท้ายของเขาในปี 2557 อย่างเรื่อง The Festival of Insignificance (งานฉลองแห่งความไร้ซึ่งสาระ) คุนเดอรายังเป็นผู้เข้าชิงรางวัลโนเบลสาขาวรรณกรรมอีกด้วย
คุนเดอราเกิดเมื่อวันที่ 1 เม.ย. 2472 ในเมืองเบอร์โน เขาเรียนดนตรีกับผู้เป็นพ่อ ซึ่งเป็นนักเปียโนและนักดนตรีชื่อดัง ก่อนจะผันตัวมาเขียนหนังสือ และกลายเป็นอาจารย์วิชาวรรณกรรมโลก ที่สถาบันภาพยนตร์ในกรุงปรากเมื่อปี 2495 แม้ทางการคอมมิสนิสต์เชโกสโลวาเกียจะต้องการให้นักเขียนในทศวรรษที่ 1950 เขียนงานเชิงสัจนิยมสังคมนิยม แต่ชื่อเสียงทางวรรณกรรมของคุนเดอรากลับเติบโตขึ้นด้วยการตีพิมพ์ชุดบทกวีและบทละคร รวมทั้งบทกวีถึงวีรบุรุษคอมมิวนิสต์ ยูลิอูส ฟูชิก Poslední máj (พฤษภาคมสุดท้าย) ที่ตีพิมพ์ในปี 2498 โดยต่อมา คุนเดอราปฏิเสธงานยุคแรกๆ เหล่านี้ของเขา โดยระบุว่าพวกมันเป็นแค่การ " ทำงานในทิศทางต่างๆ มากมาย เพื่อมองหาเสียงของผม สไตล์ของผม และตัวตนของผมเอง”
คุนเดอราเป็นอดีตสมาชิกที่กระตือรือร้นของพรรคคอมมิวนิสต์ในวัยหนุ่ม เขาถูกไล่ออกจากพรรคถึง 2 ครั้ง จากการก่อ "กิจกรรมต่อต้านคอมมิวนิสต์" ในปี 2493 และอีกครั้งในปี 2513 ระหว่างการปราบปรามซึ่งตามหลังช่วงเหตุการณ์ปรากสปริงในปี 2511 ซึ่งเขาเป็นหนึ่งในแกนนำเรียกร้องเสรีภาพทางคำพูด และสิทธิเท่าเทียมกันสำหรับทุกคน นวนิยายเรื่องแรกของคุนเดอราเรื่อง Žert (เรื่องตลก) ในปี 2510 ได้รับแรงบันดาลใจจากช่วงเวลาปรากสปริง และผลงานดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างมาก และถูกจับตามองจากพรรคคอมนิวนิสต์
นวนิยายเรื่องนี้หายไปจากร้านหนังสือและห้องสมุด จากมาตรการเซ็นเซอร์หนังสือ คุนเดอราพบว่าตัวเองถูกขึ้นบัญชีดำและถูกไล่ออกจากงานสอน ก่อนที่เขาจะเข้าทำงานในร้านคาบาเรต์ของเมืองเล็กๆ ในฐานะนักเป่าทรัมเป็ตดนตรีแจ๊ส ในที่สุดคุนเดอราพบอิสรภาพทางศิลปะผ่านดนตรี แม้การตีพิมพ์หนังสือจะถูกสั่งแบนในประเทศบ้านเกิดของเขา
หลังจากหมดความหวังในการอยู่ต่อที่เชคโกสโลวาเกีย คุนเดอลาย้ายไปยังฝรั่งเศสเมื่อปี 2518 และสูญเสียสัญชาติเช็กในปี 2522 เขากลายเป็นพลเมืองฝรั่งเศสในปี 2524 ก่อนที่ความเบาหวิวเหลือทนของชีวิตจะได้รับการตีพิมพ์ในปี 2527 ส่งผลให้คุนเดอรามีชื่อเสียงในระดับนานาชาติ นวนิยายเรื่องนี้ดำเนินเรื่องในบรรยากาศที่วุ่นวายของกรุงปรากในปี 2511 โดยเนื้อเรื่องได้ติดตามคู่รัก 2 คู่ ที่ต่อสู้กับการเมืองและการนอกใจ นวนิยายเรื่องดังกล่าวลงไปสำรวจความตึงเครียดระหว่างเสรีภาพและความรับผิดชอบ ก่อนที่มันจะได้รับการดัดแปลงมาเป็นภาพยนตร์โดย ฟิลลิป คอฟแมน ในปี 2531 ซึ่งนำแสดงโดย แดเนียล เดย์-ลูวิส และ จูเลียต บิโนช ยิ่งทำให้คุนเดอราโด่งดังมากขึ้นไปกว่าเดิม
Nesmrtelnost (อมตะ) นวนิยายเรื่องสุดท้ายของคุนเดอราที่เขียนในภาษาเช็ก ตีพิมพ์ในปี 2531 โดยนวนิยายเชิงปรัชญาแห่งแนวคิดนี้ เปิดทางให้กับนวนิยายขนาดสั้นอีก 3 เรื่องของคุนเดอราที่เขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสตามมา ได้แก่ La Lenteur (แช่มช้า) ในปี 2538, L'Identité (ตัวตน) ในปี 2541 และ L'Ignorance (ความเขลา) ในปี 2543 ซึ่งตัวหนังสือของคุนเดอราวางอยู่บนห้วงแห่งรำพึงถึงความคิดถึง ความทรงจำ และความเป็นไปได้ของการกลับบ้าน
คุนเดอราถูกกล่าวหาในปี 2551 ว่าเขาหักหลังนักบินชาวเช็กที่ทำงานให้กับหน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ เมื่อกว่า 50 ปีก่อน โดยคุนเดอราได้ออกมาปฏิเสธต่อข้อกล่าวหาดังกล่าวอย่างโกรธเกรี้ยวต่อสำนักข่าวเช็ก CTK โดยกล่าวว่าเขา "ประหลาดใจอย่างยิ่ง" และเรียกข้อกล่าวหานี้ว่าเป็น "การลอบสังหารนักเขียน"
คุนเดอราออกนวนิยายเรื่องสั้นเรื่องสุดท้าย La festa dell'insignificanza (งานฉลองแห่งความไร้ซึ่งสาระ) ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาอิตาลีในปี 2556 โดยนวนิยายเรื่องนี้สร้างเสียงจากนักวิจารณ์ที่แตกออกเป็นสองฝ่าย เมื่อมันถูกแปลออกมาในภาษาอังกฤษ โดยบางคนยกย่องว่านวนิยายเรื่องนี้มีอารมณ์ขันที่สง่างาม และในขณะที่คนอื่นๆ วิจารณ์ว่างานชิ้นนี้เป็นจุดสิ้นสุดของคุนเดอรา ที่เป็น "ชุดของความเสื่อมถอยไปสู่ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ได้ดีไปจากเดิม”
หลังจากออกจากบ้านเกิดไป 40 ปี นอกเหนือจากการเยือนบ้านเกิดของพวกเขาในช่วงเวลาสั้นๆ และเรียบง่าย ในที่สุด คุนเดอราและเวราภรรยาของเขา ได้รับสัญชาติเช็กกลับคืนมาในปี 2562 ซึ่งเป็นเวลา 1 ปีหลังจากที่พวกเขาได้พบกับ อันเดรจ บาบิช นายกรัฐมนตรีเช็กในการประชุม โดยบาบิชระบุว่าการพบกับคุนเดอรานั้นเป็น "เป็นเกียรติอย่างยิ่ง”
1 ปีต่อมา ปีเตอร์ ดรูลัก เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐเช็กประจำฝรั่งเศส ได้มอบใบรับรองการเป็นพลเมืองของคุนเดอรา โดยดรูลักอธิบายว่า การมอบสัญชาติเช็กคือแก่คุนเดอราเป็น "การแสดงสัญลักษณ์ที่สำคัญมาก ของการกลับมาของนักเขียนชาวเช็กที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในสาธารณรัฐเช็ก" พร้อมกันนี้ ดรูลักกล่าวว่าในตอนนั้น คุนเดอรา "อารมณ์ดี หยิบเอกสารมาไว้ในมือ และกล่าวขอบคุณ"
ที่มา: