วันที่ 27 ธ.ค. องค์กรภาคประชาชน ส่งจดหมายเปิดผนึกถึงคณะรัฐมนตรี แสดงความกังวลและขอให้มีการเปิดการรับฟังเสียงประชาชนอย่างโปร่งใส กรณีร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. .... ที่กำลังพิจารณาอยู่ในขณะนี้
จดหมายระบุว่า พวกเราที่เป็นหน่วยงานของประเทศไทยและระหว่างประเทศซึ่งลงนามในจดหมายนี้ ได้เขียนจดหมายเพื่อแสดงความกังวลอย่างลึกซึ้งต่อร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ. ....(‘ร่างพระราชบัญญัติ’) พวกเราเป็นกลุ่มประชาสังคมที่ทำงานในประเด็นต่างๆ รวมทั้งด้านสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม และสิทธิมนุษยชน และมีการดำเนินงานร่วมกันเพื่อช่วยเหลือประชาชนหลายล้านคนในประเทศไทย
แม้ว่าพวกเราแต่ละองค์กรจะมีลักษณะแตกต่างกัน แต่พวกเราต่างมีความรู้สึกร่วมกันที่จะคัดค้านร่างพระราชบัญญัติ ซึ่งมีข้อบทหลายประการที่จะทำให้องค์กรไม่แสวงหากำไรและสมาชิกขององค์กรเหล่านี้ ไม่เพียงต้องตกเป็นเป้าของมาตรการควบคุมจำกัดที่เข้มงวดจนเกินกว่าเหตุต่อสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ และสิทธิมนุษยชนอื่น ๆ หากยังต้องเผชิญกับการแทรกแซงโดยพลการอย่างไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อสิทธิความเป็นส่วนตัว
ร่างพระราชบัญญัตินี้มีข้อบทหลายประการที่เป็นปัญหาอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมาตรา 19, 20, 21, 25, 26 และ 27
มาตรา 19 และ 21 เสนอข้อกำหนดเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่มีเป้าประสงค์ที่เฉพาะเจาะจง ซึ่งอาจทำให้มีการใช้อำนาจโดยพลการได้ กฎหมายปัจจุบันทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลรัษฎากร หรือระเบียบว่าด้วยการเข้ามาดำเนินงานขององค์การเอกชนต่างประเทศในประเทศไทย ได้กำหนดระดับของความโปร่งใสไว้อย่างเป็นกิจจะลักษณะแล้ว โดยที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องย่อมมีอำนาจในการสอบสวนได้ หากจำเป็น
มาตรา 20 โดยรายการของข้อห้ามนี้มีเนื้อหากว้างขวางอย่างมาก และแทบจะครอบคลุมการดำเนินงานเกือบทั้งหมดขององค์กรภาคประชาสังคมในประเทศ เนื้อหาของร่างนี้อาจอนุญาตให้มีการตีความตามอำเภอใจ และในประเทศที่มีประชากร 70 ล้านคนการดำเนินตามบทบัญญัติใดๆ เหล่านี้อาจเป็นได้อย่างง่ายดายและอาจใช้โดยพลการเพื่อจำกัดเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม การชุมนุมอย่างสันติและประเด็นสิทธิมนุษยชนอื่นๆ
โดยมาตรา 20 กำหนดว่า “องค์กรไม่แสวงหากำไรต้องไม่ดำเนินงานในลักษณะดังต่อไปนี้
(1) กระทบต่อความมั่นคงของรัฐ รวมถึงความมั่นคงของรัฐด้านเศรษฐกิจ หรือด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
(2) กระทบต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม
(3) กระทบต่อประโยชน์สาธารณะรวมทั้งความปลอดภัยสาธารณะ
(4) เป็นการกระทำความผิดต่อกฎหมาย
(5) เป็นการกระทำที่เป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพของบุคคลอื่น หรือกระทบต่อความเป็นอยู่โดยปกติสุขของบุคคลอื่น”
โดยรายการของข้อห้ามนี้มีเนื้อหากว้างขวางอย่างมาก และแทบจะครอบคลุมการดำเนินงานเกือบทั้งหมดขององค์กรภาคประชาสังคมในประเทศ ทั้งที่ทำงานเพื่อประโยชน์สาธารณะ หรือโครงการพัฒนาแบบทวิภาคีและพหุภาคี ร่วมกับภาคประชาสังคมอื่นๆ
นอกจากนั้น มาตรา 20 ยังไม่เคารพหลักการความถูกต้องตามกฎหมายของกฎหมายระหว่างประเทศ เนื่องจากการจัดทำร่างกฎหมายควรมีลักษณะซึ่งทำให้สามารถคาดหมายถึงผลลัพธ์ที่ตามมาได้ ทั้งนี้เพื่อให้หน่วยงานและบุคคลสามารถกำกับดูแลพฤติกรรมของตนให้สอดคล้องกับข้อกำหนดเหล่านั้นได้
มาตรา 21 ปิดกั้นสิทธิความเป็นส่วนตัวบางประการที่องค์กรไม่แสวงหากำไรพึงมี ข้อกำหนดอย่างอื่นเกี่ยวกับแหล่งเงินทุนต่างประเทศในมาตรา 21 มีลักษณะกว้างเกินไป และละเมิดสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการสมาคม ซึ่งรวมถึงความสามารถในการแสวงหาและมีแหล่งทุนและทรัพยากรที่ยั่งยืนทั้งจากภายในและระหว่างประเทศ
มาตรา 25, 26 และ 27 กำหนดบทลงโทษที่รุนแรงเกินไป ไม่ได้สัดส่วน และอาจบั่นทอนกำลังใจของบุคคลและกลุ่ม ทำให้ไม่อยากเป็นผู้เข้าร่วมงานที่เข้มแข็งกับภาคประชาสังคมของไทย
หากมีการประกาศใช้ร่างพระราชบัญญัตินี้ ตามร่างปัจจุบันที่มีเนื้อหากว้างขวางเกินไป น่าจะเปิดโอกาสให้มีการนำไปใช้ในทางที่ผิดและเป็นการปฏิบัติมิชอบ ซึ่งไม่เพียงจะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อกลุ่มประชาสังคมที่หลากหลายในระดับรากหญ้า ระดับประเทศ และระหว่างประเทศในประเทศไทยเท่านั้น แต่กฎหมายเช่นนี้ยังคุกคามต่อสถานะของไทย ในฐานะเป็นศูนย์รวมขององค์กรไม่แสวงหากำไรในระดับประเทศและระหว่างประเทศ ซึ่งทำงานในประเด็นที่เป็นประโยชน์สาธารณะอันหลากหลายในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
การทำงานเพื่อกระตุ้นให้รัฐบาลไทยสนับสนุนภาคประชาสังคมและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนนั้นสอดคล้องกับข้อกำหนดของรัฐธรรมนูญในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐาน นอกจากนี้ยังสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติว่าด้วยการปรับสมดุลและการพัฒนาภาครัฐของประเทศไทย เราตระหนักดีว่ารัฐบาลไทยมีหน้าที่ปกป้องความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของชาติ เจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการในลักษณะที่สอดคล้องกับกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ และมีความเหมาะสม จำเป็น และปฏิบัติตามพันธกรณีของรัฐบาลในการประกันและอำนวยความสะดวกในการเคารพสิทธิมนุษยชน
เราขอตั้งข้อสังเกตว่ากฎบัตรสหประชาชาติตระหนักถึงความสำคัญของความร่วมมือระหว่างประเทศในการส่งเสริม "การเคารพและการปฏิบัติตามสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานสำหรับทุกคน"
จากข้อกังวลที่ร้ายแรงข้างต้น เราถือว่าร่างพระราชบัญญัตินี้ไม่สอดคล้องกับข้อกำหนดตามรัฐธรรมนูญของประเทศไทยในการปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานและพันธกรณีภายใต้กฎหมายระหว่างประเทศเราขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทยถอนร่างพระราชบัญญัตินี้ทันที และยืนยันถึงพันธกรณีทั้งในประเทศและระหว่างประเทศที่จะดำเนินมาตรการที่เป็นรูปธรรมเพื่อคุ้มครอง ส่งเสริม และปฏิบัติให้เป็นผล ซึ่งสิทธิที่จะมีเสรีภาพในการแสดงออก การสมาคม และการชุมนุมอย่างสงบ และสิทธิมนุษยชนอื่นๆ
นอกจากนั้น หน่วยงานที่มีชื่อด้านท้ายยังเรียกร้องสมาชิกทุกคนของสภานิติบัญญัติแห่งประเทศไทย และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ให้สนับสนุนภาคประชาสังคมที่เข้มแข็ง หลากหลายและเป็นอิสระ และให้ต่อต้านร่างพระราชบัญญัติตามเนื้อหาที่เป็นอยู่ตอนนี้
ประการสุดท้าย เราขอกระตุ้นรัฐบาลไทยให้รับประกันว่าจะมีกระบวนการรับฟังความเห็นสาธารณะต่อร่างกฎหมายฉบับนี้อย่างโปร่งใสและสร้างสรรค์ โดยกำหนดกรอบเวลาอย่างเหมาะสมเพื่อให้สาธารณชน องค์กรไม่แสวงหากำไร และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ สามารถมีส่วนร่วมได้อย่างจริงจัง อันจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ มากกว่าจะเป็นอันตรายต่อประชาชนในประเทศไทยและภูมิภาคนี้
ขอบคุณที่ท่านให้ความสนใจต่อประเด็นและข้อเสนอแนะในจดหมายนี้ เรายินดีที่จะปรึกษาหารือเรื่องนี้เพิ่มเติมกับรัฐบาลไทย และยินดีที่จะมีโอกาสเพิ่มเติมในการสนับสนุนรัฐบาล เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักการตามรัฐธรรมนูญของตนและพันธกรณีระหว่างประเทศได้
รายชื่อองค์กรและบุคคล ได้แก่