ไม่พบผลการค้นหา
ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ วิจารณ์กลุ่ม 3 มิตร หลังต่อรองตำเเหน่งในรัฐบาลไม่ลงตัว บอก “โง่เองช่วยไม่ได้”และหัดจำไว้ “ไม่มีมิตรแท้ แม้จะชื่อสามมิตร” แนะพรรคฝ่ายค้าน ไม่ต้องไปอภิปรายให้เสียเวลาเดี๋ยวรัฐบาลพังเอง

นายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ อดีต ส.ส.พรรครักประเทศไทย แสดงความคิดเห็นถึงการจัดตั้งรัฐบาลของพรรคพลังประชารัฐและพรรคร่วมรัฐบาล ที่ยังไม่ประสบความสำเร็จและมีความไม่แน่นอนในตำเเหน่งต่างๆ ภายหลังมีกระเเสข่าวความไม่พอใจจากบางขั้วออกมาเป็นระยะ 

นายชูวิทย์ ระบุผ่านเฟซบุ๊กว่า “เปิดหน้าชก ไม่ต้องเกรงใจ” แค่ถึงวันนี้นกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ประชาชนก็ได้เห็นพรรคพลังประชารัฐแตกดังโพละ เพราะใช้พลังดูด บรรดาก๊วนการเมืองมาร่วมพรรค เมื่อไม่เสร็จสมอารมณ์หมาย ก็ได้ “พรรคแตก เตรียมแยกทาง” งานการไม่ต้องทำเพราะฟัดกันเอง

ได้ดี เพราะกลุ่ม กปปส. บุญคุณจึงต้องทดแทน สามมิตรเพิ่งมาจะเอาอะไรมาก ได้แค่นี้ก็คุ้มแล้ว

ที่ร้องแรกแหกกระเชอ ขอบอกว่า “โง่เองช่วยไม่ได้”

วันนี้ต้องยอมกลืนเลือด จะไปทำแบบลูกนอกไส้อย่างประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย คงไม่ไหว เกมการเมืองคนละชั้น ขนาดยอมกลืนน้ำลาย เลียลิ้น หากไม่เหี้ย(ม) จริง คงทำไม่ได้ถึงขนาดนี้

วันหลังหัดจำไว้ใส่กะลาว่า “ไม่มีมิตรแท้ แม้จะชื่อสามมิตร”

ส่วนพรรคฝ่ายค้าน ไม่ต้องไปอภิปรายให้เสียเวลา แค่รอให้ พกอ. (”พังกันเอง”) ก็พอ

ตอนนี้อยู่ถึง 6 เดือนชักมากไปเสียแล้ว

ลูกผู้ชาย ฆ่าได้ หยามไม่ได้ กลัวอย่างเดียว “ไม่แน่จริง”

เพราะขู่ไปเขาด้านชา อยู่มาตั้ง 5 ปี คงไม่รู้สึก

แต่หากยอมรับ ก็อย่าไปอยู่ต่อเลย เสียฟอร์ม อายพรรคพวกเขาเปล่าๆ

เลือกตั้งครั้งหน้า เปลี่ยนชื่อจาก “สามมิตร” เป็น “มืดมิด” เสียดีกว่า


สุริยะปัดข่าวไม่พอใจตำเเหน่ง

นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ และแกนนำกลุ่มสามมิตร ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่มีข่าวว่า ถูกสลับเก้าอี้จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานไปเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และทำให้โกรธและขู่ว่าจะนำ ส.ส.กลุ่มสามิตรจำนวน 30 คนถอนตัวจากรัฐบาลนั้น ยืนยันว่าข่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริง เพราะขณะนี้การแต่งตั้งคณะรัฐมนตรียังไม่แล้วเสร็จ ยังไม่มีการประกาศออกมาอย่างเป็นทางการว่าใครจะไปดำรงตำแหน่งไหน และที่สำคัญส่วนตัวเองนั้นไม่เคยใช้วิธีข่มขู่เพื่อขอตำแหน่ง

“ผมไม่เคยใช้วิธีกดดันหรือข่มขู่เพื่อขอตำแหน่งอะไรเลย และครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ผมก็จะไม่ใช้วิธีการข่มขู่ เพราะเชื่อว่าท่านนายกรัฐมนตรีมีข้อมูลเกี่ยวกับบุคลากรทุกคนในพรรคว่าใครบ้างที่ร่วมสร้างพรรคกันมาตั้งแต่เริ่มต้น ทุ่มเททำงานให้กับพรรคออกเดินสายหาเสียงทั่วประเทศจนทำให้พรรคพลังประชารัฐได้เป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล ดังนั้นโดยส่วนตัวผมเชื่อมั่นว่าท่านนายกรัฐมนตรีมีภาวะผู้นำ และมีหลักการพิจารณาในการตัดสินใจว่าใครจะไปเป็นรัฐมนตรีกระทรวงใด เพราะท่านต้องการเห็นการบริหารงานของรัฐบาลในอนาคตที่จะต้องมีเสถียรภาพและผลงานเป็นที่ยอมรับของประชาชนทั้งประเทศ ซึ่งผมเองก็เห็นอย่างนั้นเช่นเดียวกัน” นายสุริยะ กล่าว