สหรัฐฯออกมาแถลงเมื่อวันจันทร์ (2 ธ.ค.) ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลอาจใช้มาตรการการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากฝรั่งเศส เช่น แชมเปญ กระเป๋า และชีส สูงถึงร้อยละ 100 กับสินค้านำเข้ามูลค่ากว่า 2,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 72,000 ล้านบาท เพื่อเป็นการตอบโต้มาตรการภาษีของฝรั่งเศสที่อาจส่งผลร้ายต่อบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า หลังมีการตรวจสอบมาตรา 301 เจ้าหน้าที่พบว่าภาษีของฝรั่งเศสนั้น "มีความไม่คงเส้นคงวาในหลักการที่เกียวข้องกับมาตรการภาษีระหว่างประเทศ ซึ่งจะกลายมาเป็นภาระที่ไม่ปกติสำหรับบริษัทสหรัฐฯ" ซึ่งหมายถึงบริษัทอย่าง อัลฟาเบท บริษัทแม่ของกูเกิล เฟซบุ๊ก แอปเปิล และแอมะซอน
'โรเบิร์ต ไลทิเซอร์' ผู้แทนจากสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ กล่าวว่า ปัจจุบันรัฐบาลกำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาเรื่องกฎเกณฑ์ทางภาษีในประเทศอื่นๆ เช่น ออสเตรเลีย อิตาลี และตุรกี
"เรามุ่งเป้าไปที่การต่อสู่กับมาตรการกีดกันทางการค้าของประเทศสมาชิกสหภาพยุโรป ที่ไม่เป็นธรรมกับบริษัทสหรัฐฯ" โรเบิร์ต กล่าว
อย่างไรก็ตามการปรับใช้มาตรการการขึ้นภาษีนี้ยังไม่ได้มีการกำหนดเวลาอย่างชัดเจน แต่จะมีการรับฟังความเห็นของประชาชนในวันที่ 7 มกราคม 2563
สำหรับฝรั่งเศส ก่อนหน้านี้ได้ออกมายืนกรานว่า มาตรการภาษีดิจิทัลของประเทศนั้นไม่ได้มุ่งเป้าจะกีดกันบริษัทจากสหรัฐฯ เท่านั้น พร้อมย้ำว่า "เราจะไม่ยอมแพ้ในเรื่องภาษีแน่นอน"
มาตรการภาษีดิจิทัลของฝรั่งเศส คือ การเก็บภาษีนิติบุคคลของบริษัทผู้ให้บริการทางดิจิทัลร้อยละ 3 จากรายได้ของบริษัทที่มีรายได้มากกว่า 27.86 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 840 ล้านบาท ในประทษฝรั่งเศส หรือบริษัทที่มีรายได้ 830 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 25,000 ล้านบาท ขึ้นไป
ที่ผ่านมาฝรั่งเศสและสหรัฐฯ มีความพยายามในการเจรจาเรื่องภาษีดังกล่าวเสมอมา แต่ 'โดนัลด์ ทรัมป์' ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ไม่เคยออกมาแถลงอย่างเป็นทางการว่าข้อตกลงเป็นอย่างไรหรือมาตรการตอบโต้ฝรั่งเศสจะยังมีอยู่หรือไม่