นายพิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว.พลังงาน กล่าวในงานเสวนา "ทางออกของ พล.อ.ประยุทธ์ ในยุคประชาลำเค็ญ" จัดโดยสภาที่ 3 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ว่า ปัจจุบัน ประชาแสนลำเค็ญ ประชาชนลำบากกันอย่างแสนสาหัส ซึ่งเป็นผลจากการบริหารเศรษฐกิจที่ผิดพลาดของรัฐบาลตลอด 5 ปี และยังมาเจอกับวิกฤตไวรัสโควิด-19 มาซ้ำเติมทำให้เศรษฐกิจที่ย่ำแย่อยู่แล้วยิ่งปักหัวดิ่งลง ทั้งนี้ความผิดพลาดในอดีตของรัฐบาลยืนยันได้จากรายงานของเวิลด์แบงค์ล่าสุดที่บอกว่าคนจนในประเทศไทยลดลงมาตลอด 30 ปี แต่ในช่วงปี 2558-2561 ที่เป็นช่วงของการปฏิวัติคนจนของไทยกลับเพิ่มขึ้นถึง ร้อยละ 36 จาก ร้อยละ 7.21 เป็น ร้อยละ 9.85 หรือเพิ่มจาก 4.85 ล้าน เป็น 6.7 ล้านคน หรือเพิ่มขึ้นเกือบ 2 ล้านคน ซึ่งแปลว่ารัฐบาลทำให้คนจนเพิ่มขึ้นแทนที่จะลดลง นอกจากนี้ เวิลด์แบงก์ยังบอกว่านอกจาก คนจนเพิ่มแล้ว เศรษฐกิจไทยยังโตช้า และคนไทยรายได้ลด
ทั้งนี้ สาเหตุหลักน่ามาจากผู้นำและรัฐบาลขาดความรู้ความสามารถ ถึงขนาดที่ต้องใช้คำว่า "โง่เขลา" ตามที่ ดร.วีรพงษ์ รามางกูร อดีต รองนายกฯ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, อดีตประธานแบงก์ชาติ เพิ่งได้ปาฐกถาไว้ และยืนยันโดย ม.ร.ว. ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกฯ ของพล.อ.ประยุทธ์ เองที่บอกว่า พล.อ.ประยุทธ์ ไม่มีความรู้เพียงพอในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ และไม่ฟังคนที่รู้ อีกทั้ง นิสิต นักศึกษา ที่แห่กันติดแฮชแท็ก #ผนงรจตกม = ผู้นำโง่เราจะตายกันหมด
นอกจากไม่มีความรู้แล้วยังปิดกั้นการรับรู้ ทั้งที่ตนได้เตือนมาตลอดว่าเศรษฐกิจไทยจะย่ำแย่ แทนที่จะรับฟังและปรับปรุงกลับเรียกตนไปปรับทัศนคติ 8 หน โดยมีหลักฐานเป็นคลิป พล.อ.ประยุทธ์ที่เคยพูดไว้เองหลายครั้ง แถมยังโกหกในสภาว่ามีความอดทนต่อการวิจารณ์และมีเมตตา แต่กลับจับตนคลุมหัวปิดตาและพาไปกักตัวไว้ถึง 7 วันในการเรียกตัวครั้งที่ 7 อีกทั้งยังส่งคนดำเนินคดีกับตนแบบมั่วๆ ในเรื่องปกนิตยสารไทม์ส และ การดูด ส.ส. 4.0 จนกระทั่งสำนักอัยการสั่งไม่ฟ้อง เพียงเพราะตนเตือนและวิจารณ์เศรษฐกิจที่พิสูจน์แล้วว่าย่ำแย่จริง และยังมีคดีทฤษฎีกบต้มที่ค้างอยู่ ตนได้เคยเตือนไว้ จนเป็นที่ขบขันกันทั่วโลกว่าผู้นำไทยไม่รู้เรื่องทฤษฏีนี้ว่ามีอยู่จริง และในขณะนี้ ภาวะกบต้มก็เป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ ที่ประชาชนเริ่มเดือดร้อนกันมากเหมือนในภาวะน้ำเดือดในหม้อต้มกบ
แม้กระทั่ง ดร.วีรพงษ์ ที่มีประวัติการทำคุณประโยชน์ให้ประเทศไทยอย่างมหาศาลตั้งแต่ในอดีต สมัยรัฐบาล พล.อ.เปรม ที่ได้ออกมาเตือนและวิพากษ์วิจารณ์ ทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ นายสมคิด และ ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ ตามความเป็นจริงที่เห็นกันอยู่ แต่รัฐบาลกลับปิดกั้นการรับรู้ แถมยังส่งคนของรัฐบาลที่ไม่มีต้นทุนทางสังคม ทั้งโฆษกพรรค และโฆษกรัฐบาล ออกมาตอบโต้แบบไร้สาระ สะเปะสะปะ และไม่ทำการบ้าน ยิ่งแสดงความโง่เขลาของรัฐบาลให้ปรากฏมากยิ่งขึ้น ซึ่งถ้ารัฐบาลนี้มีคนดีและเก่งอย่าง ดร.วีรพงษ์ ทำให้ พล.อ.เปรม เศรษฐกิจไทยคงไม่ย่ำแย่ขนาดนี้
แม้กระทั่งปัจจุบันรัฐบาลก็ยังสับสนคิดได้เพียงการแจกเงิน และในขณะที่จะแจกเงินเป็นแสนล้านบาทเพื่อบรรเทาผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 แต่กลับเปิดให้บริจาคจากประชาชนเพื่อรับมือไวรัสโควิด-19 ย้อนแย้งกันอย่างชัดเจน อีกทั้งการรับมือวิกฤตไวรัสโควิด-19 ก็ยังสะเปะสะปะตลอดมาตั้งแต่เริ่มมีการระบาด
ดังนั้น การที่นิสิต นักศึกษา และ นักเรียน จำนวนมากเกือบทั่วประเทศ ได้ออกมาชุมนุมกัน ในลักษณะ แฟลชม็อบ จึงเป็นความพยายามที่จะกระโดดออกจากหม้อต้มกบที่กำลังจะเดือด เพื่อปกป้องและรักษาอนาคตของตนและของประเทศไว้ ทั้งนี้ก็เพราะหากปล่อยให้ผู้นำที่โง่เขลาบริหารประเทศต่อไปพวกเขาคงจะถูกต้มสุกตายกันหมด หรือไม่ ประเทศไทยก็เปลี่ยนไปเป็นพม่า 2 ที่เป็นยุคที่พม่าถูกทหารปกครองอยู่หลายสิบปีที่ไม่มีความเจริญ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นประเทศเมียนมาร์ในปัจจุบัน
ความฉลาด และ ความเก่ง ของผู้นำไม่สามารถจะสอนหรือไม่สามารถจะเปลี่ยนกันได้ จะเปลี่ยนจากผู้นำที่โง่เขลามาเป็นผู้นำที่เก่งและฉลาดก็คงเป็นไปไม่ได้ และ ไม่เคยเกิดขึ้น ดังนั้น ในภาวะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทางออกที่ดีที่สุดคือต้องหาผู้นำที่เก่งและฉลาดมานำประเทศไทยเพื่อให้ก้าวหน้าและแข่งขันกับประเทศอื่นได้ มาทดแทนผู้นำที่โง่เขลาในปัจจุบัน จึงจะเป็นทางออกของคนทั้งชาติ
ข่าวที่เกี่ยวข้อง