ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี เผย สิ้นปีนี้ มีวัคซีน 61 ล้านโดส บวกกับ วัคซีน ทางเลือกอีก กว่า 10 ล้านโดส มั่นใจเพียงพอประชาชนทุกกลุ่ม

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เปิดเผยว่า วันนี้มีวัคซีนเข้ามาในประเทศไทยแล้ว 2,117,00 โดส อยู่ระหว่างการติดต่อ และ จะนำเข้ามาในวันที่ 24 เมษายนนี้ เป็น วัคซีนของ “ชิโนแว็ก” อีก 500,000โดส และ ในเดือน พฤษภาคม อีก 1 ล้านโดส แต่ต้องรอให้รัฐบาลจีนอนุมัติให้ส่งออกมาก่อน ส่วนวัคซีนของแอสตราเซเนกาที่ผลิตในไทย จะทยอยส่งให้เดือน มิถุนายน ราว 4-6 ล้านโดส

และจะเพิ่มจำนวนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ถึงสิ้นปีนี้ 61 ล้านโดส บวกกับวัคซีนทางเลือกที่จะจัดหาเข้ามาน่าจะเพียงพอ ซึ่งตอนนี้ สถาบันวัคซีนแห่งชาติกำลังเจรจากับบริษัทไฟล์เซอร์ ว่าภายในสิ้นปี จะได้ มา 5 -10 ล้านโดส อยู่ระหว่างรอใบเสนอราคา ส่วนกรณีที่หลายคนเข้าใจว่า ยาฟาริพิราเวียขาดแคลนนั้น ยืนยันว่ารัฐบาลได้จัดหามาแล้ว ซึ่งตอนนี้ มีอยู่แล้ว 2.5 เม็ด และมีแผน จัดหาให้ได้ 3.5 ล้านเม็ด โดยเร็วที่สุดยืนยันว่าจนถึงตอนนี้ มีเพียงพอ แต่ก็ต้องติดตามสถานการณ์รายวัน หากมีการติดเชื้อขึ้น ก็ต้องใช้ยามากขึ้น


ยืนยันไม่ผูกขาดวัคซีน

ขณะเดียวกันประเทศไทยก็ได้ประสานงานอยู่ตลอด และการนำเข้าวัคซีนระยะแรก ก็เป็นไปตามแผนควบคุมอยู่แล้ว เพราะช่วงแรกวัคซีนยังไม่ได้รับการพิสูจน์คุณสมบัติ แต่เมื่อวันนี้วัคซีนได้รับการพิสูจน์แล้ว ก็ได้อนุญาติให้หลายบริษัทเสนอขายให้กับไทย แต่ยังเป็นการติดต่อระหว่างรัฐต่อรัฐ เพราะยังอยู่ในภาวะฉุกเฉิน พร้อมย้ำ ไทยพร้อมรับวัคซีนที่ เสนอขายมา แต่ขึ้นอยู่กับรัฐบาลประเทศต้นทางด้วย 


ขอให้ทำคนเข้าใจว่า ไม่ใช่รัฐบาลจองวัคซีนช้าแต่ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ส่วนการฉีดวัคซีนให้คนไทย จะเร่งรัดให้เร็วที่เพื่อให้ทั่วถึงทุกคนเรียงตามลำดับ ความจำเป็นเร่งด่วน และก็ยังได้มีการเตรียมวัคซีนไว้สำรองในระยะต่อไปด้วย นายกรัฐมนตรี ย้ำว่า ไม่เคยคิดผูกขาดวัคซีนเฉพาะรัฐบาล คิดเพียงว่าจะทำอย่างไรให้ประชาชนปลอดภัย เพราะวัคซีนไม่สามารถซื้อได้เหมือนยาปกติ เพราะผู้ผลิตจะไม่รับผิดชอบ หากเกิดผลข้างเคียงกับผู้รับวัคซีน เชื่อว่าไม่นานสถานการณ์น่าจะคลี่คลาย 


ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรี ระบุว่า จะเปิดให้ลงทะเบียน รับวัคซีนผ่านแอปพลิเคชัน “หมอพร้อม” ได้ในวันที่ 1 พ.ค. นี้เป็นต้นไปเพื่อให้เข้าถึงประชาชนทั้งประเทศ จากเดิมที่นำข้อมูลจากผู้ที่เข้ารับการรักษาจากสถานพยาบาล ซึ่งได้ข้อมูลเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น จึงจต้องมาเพิ่มเติม ว่าคนไทยต้องการรับวัคซีนมากน้อยแค่ไหน