'สวัสดิ์ กันยา' หรือที่ใครๆ เรียกกันติดปากว่า 'เจ้มุก ซักรีด' เจ้าของร้านซักอบรีด ถนนเพชรบุรีซอย 7 วัย 54 ปี เล่าประสบการณ์ชีวิตที่กล้าก้าวออกจากพื้นที่ปลอดภัย เปลี่ยนตัวเองเป็นนักวิ่งมาราธอน
เธอเล่าให้ทีมข่าว 'วอยซ์ ออนไลน์' ฟังว่าเมื่อก่อน หลังจากซักรีดผ้าลูกค้าเสร็จ ตอนค่ำเธอก็จะเปิดทีวี ดูละครหลังข่าว พร้อมกับทานอาหารเมนูโปรด ซึ่งเป็นงานอดิเรกที่เธอรักมากที่สุด แต่เมื่ออายุมากขึ้น น้ำหนักขึ้นถึง 74 กิโลกรัม เธอก็เริ่มเหนื่อยง่าย เวลาเดินไปส่งผ้าต้นขาก็จะเสียดสีกัน จนหลายๆ คนทักว่าอ้วน ทำให้เธอทนไม่ไหวต้องเริ่มหันไปออกกำลังกาย และวิธีที่จะลดน้ำหนักได้เร็วที่สุดนั่นก็คือ 'การวิ่ง'
เธอบอกว่า การวิ่งเป็นสิ่งที่เธอไม่ชอบ วิ่งครั้งแรกที่สวนสันติภาพรอบละ 700 เมตร แต่วิ่งยังไม่ถึงครึ่งก็เหนื่อยจนต้องเดิน แต่ก็อดทนวิ่งต่อไปเรื่อยๆ เพิ่มจากสัปดาห์ละรอบ เป็นสองรอบ สามรอบ ตามลำดับ ซึ่งผลคือน้ำหนักและขนาดตัวลดลงอย่างชัดเจน และสิ่งที่ตามมาก็คือตัวเหี่ยว เธอจึงได้รับคำแนะนำจากเพื่อนในลานวิ่งให้ Bodyweight เพื่อความกระชับของร่างกายและสร้างกล้ามเนื้อ และหลังจากเธอเริ่ม Bodyweight อย่างจริงจัง นอกจากร่างกายที่กระชับขึ้นเธอก็วิ่งได้ดีขึ้นด้วย จนทำให้เธอเริ่มสนุกกับการวิ่งมากขึ้นจนลงสมัครรายการวิ่งเป็นคร้ังแรก 16 กิโลเมตร
เธอเล่าให้ฟังอีกว่า ตอนแรกคิดว่าผู้คนที่ไปแข่งวิ่งในรายการจะต้องวิ่งกันอย่างจริงจังเพื่อเข้าเส้นชัยให้เร็วที่สุดหลังเสียงสัญญาณ แต่ความจริงแล้วทุกคนกลับสนใจแต่การวิ่งและการสับขาของตัวเองจนทำให้เธอแปลกใจ และหลังจากการรายการนั้น ลูกค้าก็แนะนำให้เธอใช้แอปพลิเคชั่นจับเวลาซึ่งทำให้เธอได้รู้สถิติตัวเอง และเริ่มหลงใหลในการวิ่งมากขึ้น เมื่อการวิ่งนี้ไม่ใช่การแข่งขันกับคนอื่นอีกต่อไป
"วิ่งแล้วอยากดูเวลาตัวเองว่าตัวเองทำเวลาได้ดีเหมือนตอนที่แบบเราซ้อมทุกวันหรือเปล่า เราก็จะเปิดแอปจับเวลาไปด้วย ระยะทางเราก็จะจับเวลาบอกไง คือถ้าเราทำเวลาได้ดีกว่าตอนซ้อมอันนั้นก็จะเป็นความภูมิใจของเราอย่างหนึ่ง" เจ้มุกกล่าว
หลังจากนั้นมาเธอจะแบ่งเวลาในชีวิตตั้งแต่เช้าตี 4 ตื่นมาทำงานรีดผ้า ซักผ้าให้ลูกค้า เพื่อเคลียร์งานให้เสร็จก่อนเวลา 17.00 น.
หลังจากนั้นจะเป็นช่วงเวลาที่เธอจะซ้อมวิ่ง 40 นาที ซ้อมท่าวิ่ง 40 นาที และBodyweight 30 นาที รวม 2 ชั่วโมงทุกวัน ทุกวันนี้เธอไม่ติดละคร แต่เอาเวลาไปซ้อมวิ่งซึ่งเป็นกิจกรรมใหม่ที่เธอหลงรัก
เจ้มุก ยังบอกอีกว่า การวิ่งของเธอทำให้น้ำหนักตัวลดลงไปจาก 74 กิโลกรัมเป็น 57 กิโลกรัม แต่สิ่งที่เธอภูมิใจมากกว่านั้นคือความแข็งแรงของร่างกายและเป้าหมายในการทำลายสถิติตัวเอง และมันยังทำให้เธอได้รู้ว่าใน 24 ชั่วโมงของทุกคนถ้ารู้จักบริหารดีๆ จะมีเวลาเหลือเฟือ
"เจ็ดสิบสี่ตอนนี้ห้าสิบเจ็ดค่ะ ภูมิใจมากเลยค่ะ ภูมิใจตรงน้ำหนักลดไม่พอ ตอนนี้ไม่ได้สนใจเรื่องน้ำหนักแล้ว ดิฉันสนใจเรื่องแบบว่าดิฉันสร้างกล้ามเนื้อได้เท่าไร ไม่ได้แบบว่าจะให้ตัวเองหุ่นดีนะ แต่แบบว่าดิฉันเชื่อว่า การที่มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรงมันสามารถทำให้ เราใช้ประโยชน์อ่ะ...ทุกคนมี 24 ชั่วโมงเท่ากัน แต่ว่าเรามีเวลาเหลือเฟือ เอาไว้สำหรับออกกำลังกาย เวลาทำงานเราก็ได้ทำเต็มที่ ออกกำลังกายเราก็ได้ทำเต็มที่" เจ้มุกกล่าวด้วยรอยยิ้ม
อายุมากแล้วมีผลต่อการวิ่งหรือไม่?
เจ้มุก กล่าวต่อด้วยความภาคภูมิใจว่าสถิติที่ดีที่สุดตอนนี้คือวิ่ง 21 กิโลเมตรด้วยเวลา 2 ชั่วโมง 4 นาที แต่สำหรับการวิ่งมาราธอนเป็นรายการแรกทำเวลาไป 5 ชั่วโมง 30 นาที แม้จะยังไม่ดีมาก แต่เธอตั้งใจว่าจะวิ่งและสนุกกับการสับเท้าของตนเองต่อไป เพราะเธอเชื่อว่าอายุไม่มีผลต่อการออกกำลังกาย
เธอเล่าว่ามีผู้ชายอายุ 60 ปีลงแข่งขันรายการเดียวกันเธอ แม้ท่าวิ่งจะไม่สวยมาก แต่วิ่งนำเธอไปเกือบ 10 กิโลเมตร เธอเชื่อว่าขึ้นอยู่กับการวางแผนและฝึกฝนตัวเองอย่างสม่ำเสมอ เธอมองว่าการวิ่งคือการออกกำลังกายที่สะดวกที่สุดแค่มีรองเท้าและใช้ขาตัวเองวิ่งไปกับพื้น แต่ต้องให้เวลาและความต่อเนื่อง
เสน่ห์ของการวิ่งคืออะไร?
"ไม่รู้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันได้วิ่งโลกก็เป็นของฉัน ฉันก็ไม่รู้ว่าเสน่ห์มันคืออะไร คือเมื่อไรก็ตามที่แบบว่าบลูทูธเสียบหูปุ๊บ แนเปิดเพลง ฉันวิ่ง โลกนั้นเป็นของฉันคนเดียวไม่เกี่ยวข้องกับใคร"
เจ้มุก บอกว่า สิ่งที่ชอบที่สุดในลู่วิ่งคือเวลาเริ่มวิ่งแล้วโลกของเธอขึ้นอยู่กับการสับเท้า เธอจินตนาการว่าพื้นเหมือนก้นเด็ก คือ ต้องแตะให้เบาที่สุดและยกให้เร็วที่สุด และสิ่งสำคัญคือเสียงเพลง เธอฟังเพลง Family Affair และเพลง One ของ Mary J. Blige พอเพลงขึ้นเธอก็จะนึกถึงจังหวะการสับแขนสับขาของผู้ชายที่เธอแอบมอง
เธอเล่าต่อด้วยความสนุกว่า แม้จะไม่กล้าคุยกับผู้ชายในลานวิ่ง แต่เธอชอบแอบมองเขาตรงต้น คอหัวไหล รวมทั้งการสับแขนสับขา บางคนหน้าตาธรรมดา แต่เวลาสับแขนสับขาแล้วเขาเท่มาก แต่ไม่ว่าจะเป็นความรักในลู่วิ่ง หรือรักในเสียงเพลง หรือการสับเท้า เจ้มุกบอกว่ามันเทียบไม่ได้เลยกับความรักในตัวเองที่เธอรู้สึกทุกครั้งหลังกลับบ้านส่องกระจก
"มันทำให้ดิฉันภาคภูมิใจในตัวเอง คือปกติก็เป็นคนที่รักตัวเองภาคภูมิใจในตัวเองอ่ะ ยิ่งแบบว่าคนแก่ๆ อย่างนี้แล้วมีหุ่นอย่างนี้ แล้วก็แบบ อุ๊ย... ทำไมฉันหุ่นดี บางทีแบบว่าซ้อมวิ่งกลับมาแล้วก็ยืนมองแต่ตัวเองในกระจกว่าฉันสวยจังเลย ฉันสวยจังเลย ฉันสวยจังเลย อยู่อย่างนี้อ่ะค่ะ...ถ้าสมมติว่าตอนนี้ตัวเองในอดีตมายืนอยู่ตรงหน้า ฉันจะบอกกับเขาว่า มุก อีมุก อีอ้วน เธอเสียเวลามากไปแล้ว แค่นั้นแหละ บอกนางแล้วก็ลุกขึ้นมา หาเวลาออกกำลังกาย"