ปดิพัทธ์ สันติภาดา รองประธานสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ลำดับที่ 1 พรรคเป็นธรรม เดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อยื่นหนังสือเกี่ยวกับการปกปิดข้อมูลเรื่องโรคอหิวาต์ในสุกร หรือ ASF ที่ระบาดในปี 2564 เป็นข้อมูลประกอบการสอบสวนเพิ่มเติมในคดีเกี่ยวกับขบวนการลักลอบนำเข้าหมูเถื่อนในประเทศไทย โดยมี พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับหนังสือ
โดย ปดิพัทธ์ กล่าวว่า จากกรณีที่มีการจับกุมและกวาดล้างการนำเข้าหมูเถื่อนเข้าในประเทศไทยในปัจจุบัน และได้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเป็นจำนวนมาก ทั้งภาครัฐและเอกชน ตนเองในฐานะที่เคยเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและติดตามเรื่องดังกล่าวมาโดยตลอด จึง ได้นำข้อมูลที่เกี่ยวกับหน่วยงานภาครัฐ คือ กรมปศุสัตว์ ที่อาจจะเกี่ยวข้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาดดังกล่าวในปี 2564-2565 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศไทยประสบปัญหาเนื้อหมูหน้าเขียงขาดตลาด แต่กลับมีวางจำหน่ายในห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า บริษัทส่งออกรายใหญ่มีการส่งออกเนื้อหมูในปริมาณเพิ่มขึ้นถึง 400% ซึ่งมากที่สุดในประวัติศาสตร์ จึงคาดว่าสอดคล้องกับการปกปิดข้อมูลโรคระบาด เพราะหากมีการประกาศเกี่ยวกับโรคระบาดที่เกิดขึ้น จะทำให้ไม่สามารถส่งออกเนื้อหมูจากประเทศไทยได้
ต่อมา ยังเกิดผลกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรรายย่อยที่กำลังจะฟื้นตัวจากโรคระบาด เพราะพบว่า มีการนำเข้าเนื้อหมูเถื่อนอีกเป็นจำนวนมาก ทำให้ผู้ประกอบการรายย่อยประสบปัญหาไม่สามารถแข่งขันด้านราคา ไม่สามารถฟื้นฟูกิจการได้ กลไกดังกล่าวจึงถือเป็นการทำลายเกษตรกรรายย่อยอย่างถาวร
ปดิพัทธ์ ยังกล่าวอีกว่า เนื่องจากรัฐบาลในขณะนั้นไม่สามารถดำเนินการเอาผิดได้ จึงต้องการให้กรมสอบสวนคดีพิเศษได้ดำเนินการสืบสวนเอาผิดกับผู้ที่กระทำความผิดในอดีตด้วย ไม่ว่าจะเป็นอธิบดีกรมปศุสัตว์ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องอื่นๆ โดยตนเองเคยยื่นข้อมูลเกี่ยวกับขบวนการนี้ต่อ ป.ป.ช. มาแล้ว เมื่อปี 2565 เพื่อให้เอาผิดกับรัฐมนตรี และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงหนึ่ง แต่ ทาง ป.ป.ช.กลับไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น
วันนี้ จึงถือโอกาสนำข้อมูลชุดเดียวกันมายื่นให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษ เพื่อให้ล้างบางขบวนหมูเถื่อนทั้งหมด ซึ่งข้อมูลมีความเกี่ยวข้องกับทั้งเจ้าหน้าที่รัฐ และข้าราชการการเมืองระดับสูงโดยตรง เชื่อว่าจะสามารถช่วยให้สาวไปถึงตัวการใหญ่ได้ และเชื่อว่ารัฐบาลชุดนี้ จะสามารถสืบสวนสอบสวนเอาผิดไปจนถึงผู้ที่อยู่เบื้องหลังในระดับสูง แม้ว่านายกรัฐมนตรีจะมาจากกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ก็ตาม ก็น่าจะสามารถแยกแยะและปฎิบัติหน้าที่ได้ และต้องให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลชุดนี้ด้วยเนื่องจากเรื่องไม่ได้เกิดในรัฐบาลชุดนี้ แก้ปัญหาการทุจริตและถือเป็นอีกหนึ่งบททดสอบสำหรับรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาการทุจริตภาครัฐได้หรือไม่
นอกจากนี้ ปดิพัทธ์ ยังกล่าวถึงหมูเถื่อนที่ทางกรมศุลกากรอายัดไว้ทั้งหมด 161 ตู้ ที่ท่าเรือแหลมฉบังในขณะนี้ด้วยว่า ไม่ใช่จำนวนทั้งหมดที่นำเข้า และคาดว่าน่าจะมีมากกว่านี้อีกหลายพันตู้