วันที่ 30 ส.ค. 2565 ที่พรรคเพื่อไทย ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มีการจัดเสวนา "8 ปี ประยุทธ์ พอเถอะครับ ประเทศไทยต้องไปต่อ" นำโดย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย พิชัย นริพทะพันธุ์ รองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และทิศทางการเมือง และสุขุมพงศ์ โง่นคำ อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ดำเนินรายการโดย อนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์ และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า เราอยู่กับระบอบประยุทธ์มา มีความยุ่งยากในการใช้ชีวิตทุกมิติ หลายคนบอกว่า 'เลือกความสงบ จบที่ลุงตู่' ซึ่งมันสงบเงียบราบคาบในมิติทางการเมือง คือ ประเทศไทยเรายืนอยู่ตรงไหนในเวทีโลก 8 ปีที่อยู่มา สังคมโลกไม่ยอมรับ เพราะเป็นการทำลายสิทธิมนุษยชน อีกทั้งกลไกที่ใช้ในการอยู่ในอำนาจเป็นกลไกที่สร้างขึ้นมาเพื่อตัวเอง
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า ระบบรัฐสภาในทุกวันนี้ ทำลายความเชื่อมั่นระดับโลก เกิดกระแสการต่อต้านจากประชาชนที่ไม่สนับสนุนระบบรัฐสภา ประชาชนแบ่งออกเป็น 3 ส่วนคือ กลุ่มแรก สนับสนุนระบอบประยุทธ์ 20% กลุ่มสองคือ ต่อต้านระบอบประยุทธ์ 20% และอีก 60% ที่เหลือคือกลุ่มที่พร้อมจะไปทางไหนก็ได้ เพราะถูกเจาะความเชื่อในความเป็นประชาธิปไตยอย่าเงียบเชียบ
"ในเรื่องที่ฝ่ายค้านที่จงใจให้สภาล่มนั้น ทั้งที่รู้ว่ามันเป็นเงื่อนไขให้สภาเสื่อม แต่ก็ต้องทำ เหมือนร่วมไปแสดงกับสิ่งที่ ระบอบประยุทธ์สร้างเอาไว้ เพื่อท้าทายกับพี่น้องประชาชนที่ยังยึดติดอยู่ในระบอบประยุทธ์" นพ.ชลน่าน กล่าว
นพ.ชลน่าน กล่าวว่า การเรียกร้องรัฐธรรมนูญปี 2540 พี่น้องประชาชนมีอำนาจเลือกผู้แทนเต็มที่ แต่เมื่อมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2550 และปี 2560 พบว่าอำนาจในการใช้เงินกลับคืนมา ซื้อ ส.ส. แบบไม่มีอาย สิ่งเหล่านี้เป็นความเลวร้ายในระบอบรัฐสภา อำนาจอธิปไตยจะเป็นแต่คำพูดไม่เป็นจริง
นพ.ชลน่าน เสริมว่า พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ได้เพราะอำนาจพิเศษ ขณะนี้อยู่ภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ที่เอามาสกัดม็อบ ก่อนหน้านี้ก็ใช้ ม.44 ที่มอบอำนาจพิเศษให้ พล.อ.ประยุทธ์ มีการเขียนรัฐธรรมนูญละเมิดการใช้อำนาจของประมุข ทำให้กระทบวิถีชีวิตประชาชน เช่น การปกครองส่วนท้องถิ่น
ในส่วน 8 ปีนั้น นพ.ชลน่าน ให้ความเห็นว่า ตนไม่อยากก้าวล่วงอำนาจศาล จึงต้องรอกลไกของศาลรัฐธรรมนูญ หากผลออกมาเป็นที่พอใจ ก็สิ้นสุดการทำหน้าที่ของ พล.อ.ประยุทธ์ และเข้าสู่การสรรหานายกรัฐมนตรีใหม่ หรือยุบสภา เพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน แต่ที่ตนไม่เรียกร้องเพราะไม่อยากให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง
พิชัย กล่าวว่า หลังจากมีมติศาลรัฐธรรมนูญ อยากให้ พล.อ.ประยุทธ์ ทำใจ การที่ ผบ.ทบ. ออกมาสดุดีท่าน เป็นการปิดฉากท่านแล้ว มันดูตลกมาก การที่ถูกปลดออกจานายกฯ แต่ยังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
พิชัย ได้เสนอ 10 เรื่องที่สุด ในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้แก่
1.ก่อหนี้มากกว่ารัฐบาลทั้งหมด และต้องจ่ายดอกเบี้ยมากที่สุด
2.ใช้งบประมาณมากที่สุด แต่เศรษฐกิจโตปีละ 1% กว่า นั่นหมายถึงใช้เงินไม่เป็น
3.ความเชื่อมั่น และการลงทุนในไทยต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยถูกเวียดนามแซงไปไกล
4.พลังงานแพงที่สุด ได้แก่ น้ำมัน ไฟฟ้า และก๊าซ
5.ของแพงที่สุด เงินเฟ้อมากที่สุด แต่รายได้ไม่เพิ่ม
6.คนจนมากที่สุด คนตกงาน และฆ่าตัวตายมากที่สุด
7.ความสามารการแข่งขันแย่ที่สุด โดย IMD ลดลงไป 5 อันดับ
8.ใช้งบทหารมากที่สุด เพื่อซื้ออาวุธ แต่ไม่เกิดประโยชน์ต่อประชาชน
9.มีทุจริตมากที่สุด โดยถูกจัดอันดับอยู่ที่ 110
10.พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา โกหกมากที่สุด
พิชัย กล่าวอีกว่า พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่าย ควรพอแล้ว ตนอยากจะขอเตือน 4 เรื่องที่กำลังจะเข้ามาได้แก่
1.ดอกเบี้ยจะเข้ามา โดยสหรัฐฯ จะขึ้นดอกเบี้ยไปเรื่อยๆ จนกว่าจะแก้ปัญหาเงินเฟ้อ และอาจจะขึ้นถึง 5% ซึ่งส่งผลให้หนี้สาธารณะพุ่งสูงขึ้น
2.ค่าไฟที่กำลังจะขึ้นวันที่ 1 ก.ย. นี้ ประชาชน และหน่วยธุรกิจจะเจ๊ง เพราะการบริหารทำไม่เป็น ไม่รู้เรื่อง ทั้งน้ำมัน และก๊าซ ปัญหาคือ น้ำมันกลับมาขึ้นอีกแล้ว จะเป็นปัญหาต่อไป
3.เงินเฟ้อจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้สินค้าต่างๆ ทยอยขึ้น รายได้ของประชาชนไม่พอกับรายจ่าย
4.การขาดดุลการค้า และบัญชีเดินสะพัด ไปพร้อมๆ กับการขาดดุลการคลัง ซึ่งเป็นสัญญาณอันตรายของเศรษฐกิจทั้งประเทศ โดยการส่งออกเริ่มแผ่ว ทำให้ขาดดุลการค้า 3,000 กว่าล้านเหรียญ
พิชัย กล่าวทิ้งท้ายว่า พล.อ.ประยุทธ์ และเครือข่ายคงไม่ทราบ ถึงเวลาที่ต้องตัดสินใจออกไปได้แล้ว หากยังอยู่นาน คนยิ่งลำบากมากยิ่งขึ้น
สุขุมพงศ์ กล่าวว่า ตามประวัติศาสตร์การเมืองไทย 90 ปีหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง มีข้อสังเกตคือ พล.อ.ประยุทธ์ กำลังจะทำสถิติประเทศไทย ด้วยการอยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรียาวนานที่สุด มากกว่า จอมพล ป. พิบูลสงคราม และ จอมพล ถนอม กิตติขจร และพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ หลังจากนั้นมีนายกฯ ที่เป็นเพียง 4 ปีเศษ ฉะนั้นสถิติอันนี้พอเกินที่จะรับประทาน ศรัทธาประชาชนไม่เหลืออะไรแล้ว
สุขุมพงศ์ กล่าวต่อว่า ที่มาของท่าน (พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา) ในวันที่ 20 พ.ค. 2557 ท่านทำวีรกรรมประกาศกฏอัยการศึก ที่เป็นกฎหมายแห่งความมั่นคงตั้งแต่ ร.6 และหลังจากนั้นมีการเลือกตั้ง ประเทศไทยแปลกในโลกที่มีการเลือกตั้งไม่สำเร็จ สมัย พล.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ประกาศให้การเลือกตั้งวันที่ 2 เม.ย. 2549 แต่การเลือกตั้งนั้นก็เป็นโมฆะด้วยเหตุผลที่แปลกประหลาด
ประหลาดที่ 2 สมัยรัฐบาล ยิ่งลักษ์ ชินวัตร ที่ได้มีการเลือกตั้งใหม่ในช่วงปี 2557 แต่ก็เป็นโมฆะเพราะประชาชนส่วนหนึ่งในภาคใต้ไปขัดขวางไม่ให้คนไปใช้สิทธิ ทำให้ต้องเลือกตั้งมากกว่า 1 วัน และศาลมองว่าผิดต่อรัฐธรรมนูญ
ที่เป็นเช่นนี้ต้องการให้ท่านออกจากตำแหน่ง เพราะที่มาท่านไม่ชอบ ด้วยการประกาศใช้กฎอัยการศึก และให้พรรคการเมืองไปคุยกันที่สโมสรทหารบก และตั้งคำถามว่าจะแก้ไขสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไร สุดท้าย พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นผู้ประกาศใช้กฎอัยการศึกเค้นฝ่ายรัฐบาลว่าจะลาออกหรือไม่ หากไม่ลาออก พล.อ.ประยุทธ์ ก็จะปฏิวัติ
สุขุมพงศ์ กล่าวอีกว่า รัฐธรรมนูญก็ไม่ชอบ ไม่เคยมีรัฐธรรมนูญประเทศไหนที่บอกว่า ประชามติไม่เห็นด้วยติดคุก แต่ถ้าหากสนับสนุนรัฐธรรมนูญนี้ดีแปลว่าคุณถูกต้อง ผลปรากฎว่า ประชาชนอยากให้มีการเลือกตั้งที่เป็นประชาธิปไตย ท้ายที่สุดมีเสียงสนับสนุนผ่านประชามติ 54% อีก 48% ไม่เห็นด้วย และแสดงความอาเพศ และเป็นสิ่งมหัศจรรย์อันดับ 8 ของโลก ด้วยการ ให้ ส.ว. ไปเลือกนายกรัฐมนตรี ส.ว. คนนี้ เมื่อก่อนเป็น สนช. เขาบอกว่า ท่านเห็นด้วยไหม ที่จะให้การปฏิรูปเป็นไปตามเป้าหมายที่รัฐธรรมนูญกำหนด ชาวบ้านอ่าน 9-10 รอบก็ไม่เข้าใจ ทุกวันนี้คณะรัฐมนตรี (ครม.) 36 คน รู้หรือไม่ว่าการปฏิรูปประเทศเป็นอย่างไร
อีกทั้งให้ ส.ว. หรือสภาสูงวัย ที่มีอำนาจกลั่นกรองกฎหมายมามีอำนาจมากกว่าผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และเป็นผู้พิจารณากฎหมายไปพร้อมผู้แทนฯ เป็นครั้งแรกในโลก เพราะรัฐบาลเกรงว่าจะมีเสียงปริ่มน้ำ ทำให้ ส.ส. ทำหน้าที่ลำบาก นอกจากนั้นการที่มีเสียงปริ่มน้ำทำให้มีการแจกกล้วย เปรียบ ส.ส. เหมือนสิงสาราสัตว์ พรรคเล็กน้อยที่เป็นพรรคปัดเศษเปลี่ยนทุกวัน ทำให้การประชุมสภาล่มแทบทุกครั้ง เพราะกล้วยมันจะหมดสวน