นายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน หัวหน้าพรรคพลังสังคม กล่าวถึงกระบวนการร่างรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันที่กำหนดให้สมาชิกวุฒิสภา จำนวน 250 คน มีอำนาจร่วมโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีได้ โดยระบุว่า ตามหลักกฎหมายแล้วการโหวตบุคคลที่จะมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นสมาชิกผู้แทนราษฏร แต่รัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันกำหนดให้มีสมาชิกสภาผู้แทนราษฏร จำนวน 500 คน และสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 250 คน ซึ่งตามหลักแล้วสมาชิกวุฒิสภาไม่มีอำนาจในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม นายวิฑูรย์กล่าวว่า ในเมื่อมีการประกาศเป็นกฎหมายแล้ว ตนก็อยากจะเตือนสมาชิกวุฒิสภาทั้ง 250 คน ควรใช้วิจารณญาน และสติสัมปะชัญญะอย่างรอบคอบในการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เพราะประชาชนทุกคนจับตาดูการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรีอยู่ และเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎหมาย
ทั้งนี้ พรรคพลังสังคม เป็นพรรคการเมืองน้องใหม่ที่มีอดีตข้าราชการระดับอธิบดีและรองอธิบดีกรมป่าไม้ร่วมกันจัดตั้งถึง 3 คน คือ นายผ่อง เล่งอี้ นายสมชัย เพียรสถาพร และนายวิฑูรย์ ชลายนนาวิน โดยในวันที่ 22 ธ.ค.ได้มีการจัดพิธีทำบุญเลี้ยงพระขึ้นภายในพรรคเพื่อความเป็นสิริมงคล ขณะที่กรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคเข้าร่วมงานกันอย่างพร้อมหน้า
นายวิฑูรย์ เปิดเผยว่า ทางพรรคมีนโยบายสำคัญในการแก้ปัญหาที่ดินทำกินของประชาชน อาทิ การออกโฉนดใบเดียว โดยให้โฉนดกับประชาชนแต่ละหมู่บ้านทั่วประเทศ โดยตัวเขาเอง ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญของศาลในการวิเคราะห์ภาพถ่ายแผนที่ทางอากาศ ยังมีอดีตอธิบดีกรมป่าไม้อีก 2 คนที่จะเข้ามาช่วยหาทางออกในเรื่องที่ดินให้กับชาวบ้านซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่โดยไม่มีโฉนดที่ดิน แบ่งเป็นพื้นที่ภาคเหนือประมาณ 4 แสนครัวเรือน ภาคตะวันออกประมาณ 3 แสนครัวเรือน และภาคใต้ประมาณ 2 แสนครัวเรือน ขณะที่บางครัวเรือนมีโฉนด สปก 4-01 แต่ไม่สามารถนำมาแปลงเป็นทรัพย์สินได้ และไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จะได้กรรมสิทธิ์ครอบครองที่ดินเมื่อไหร่ ทั้งยังไม่มีหน่วยงานใดเข้ามาดูแลเรื่องดังกล่าวอย่างจริงจัง
ฉะนั้น พรรคพลังสังคมจะอาสาเข้าไปดำเนินการในเรื่องดังกล่าวให้มีผลเป็นรูปธรรม โดยใช้หลักการทำเอกสารสิทธิ์แต่ละหมู่บ้าน มีเอกสารการครอบครองสิทธิ์อย่างถูกต้อง โดยจะนำการวิเคราะห์จากแผนที่ภาพถ่ายทางอากาศมาพิจารณาการออกเอกสารสิทธิ์
สุดท้าย เพื่อป้องกันไม่ให้นำโฉนด น.ส.3 ที่ออกโดนกรมที่ดินไปขายต่อให้กลุ่มนายทุน ทางพรรคจะจัดตั้งกองทุนขึ้นมาสำหรับรับซื้อและรับจำนำที่ดินดังกล่าว รวมถึงจัดตั้งสหกรณ์เพื่อดูแลเรื่องที่ดินโดยเฉพาะอีกด้วย โดยเชื่อว่า นโยบายการออกโฉนดที่ดินใบเดียว จะเป็นการช่วยเหลือประชาชนระดับรากหญ้าให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น โดยเฉพาะประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกล ที่รัฐไม่สามารถเข้าไปดูแลได้ทั่วถึง ก็จะช่วยยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ให้ทัดเทียมกับชนชั้นระดับบน