นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ในฐานะ ผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษคดีฟอกเงินกรุงไทย เดินทางมาให้ปากคำในรายละเอียดตามหนังสือเชิญของกรมสอบสวนคดีพิเศษ โดยนายเรืองไกร กล่าวว่าจะยืนยันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่า การดำเนินคดีฐานฟอกเงิน จากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทยให้เครือกฤษดามหานคร จนเป็นที่มาของการฟอกเงินจะต้องดำเนินการโดยไม่เลือกปฏิบัติ สอบสวนตามข้อเท็จจริงตามพยานหลักฐาน
ขณะเดียวกัน นายเรืองไกรตั้งข้อสังเกตว่า เหตุใดกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงไม่รวบรวมข้อเท็จจริงและฟ้องเป็นสำนวนเดียว เหมือนเช่นกรณีของ สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่น หรือกรณีเมจิกสกิน เหตุที่ต้องแยกสำนวนการสอบสวน เพราะบุคคลที่นายเรืองไกรมายื่นกล่าวหาเป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมืองหรือไม่
อีกทั้ง ก่อนหน้านี้ บุคคลดังกล่าวถูกตรวจสอบเป็นรูปแบบของสำนวนการสอบสวนเท่านั้น ไม่ได้ตั้งเป็นคดีพิเศษ ซึ่งอาจทำให้กระบวนการล่าช้า และหมดอายุความ ก่อนกระบวนการตรวจสอบจะแล้วเสร็จ
ดังนั้นเมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ได้พิจารณาสำนวนการสอบสวนดังกล่าว เป็นคดีพิเศษแล้ว จึงขอให้ดำเนินการด้วยความรวดเร็ว ก่อนคดีจะสิ้นอายุความภายในสิ้นปีนี้
ด้านนายวันชัย บุนนาค ทนายความอิสระ ในฐานะผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ ให้ตรวจสอบ กรณีการฟอกเงิน จากการปล่อยกู้ของธนาคารกรุงไทย ให้เครือกฤษดามหานคร ตามหนังสือเชิญมาให้ปากคำของกรมสอบสวนคดีพิเศษ นายวันชัย เปิดเผยว่า การสอบปากคำ จะได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นที่ได้ร้องเรียนไปก่อนหน้านี้ ซึ่งกรมสอบสวนคดีพิเศษได้ตั้งเรื่องดังกล่าว เป็นคดีพิเศษแล้วหลังจากที่ก่อนหน้านี้เป็นเพียงสำนวนการสอบสวนเท่านั้น
ทนายความอิสระตั้งข้อสังเกตว่า กรณีที่ธนาคารกรุงไทยอนุมัติวงเงินสินเชื่อจำนวน 9,900 ล้านบาท ให้กับบริษัท โกลเด้นเทคโนโลยี อินดัสเตรียล พาร์ค จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือกฤษดามหานคร เพื่อเป็นข้อมูลให้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษในการตรวจสอบข้อเท็จจริงในคดีฟอกเงินเพิ่มเติม
โดยนายวันชัยได้เตรียมเอกสาร ซึ่งเป็นข้อมูลการปล่อยอนุมัติสินเชื่อ โดยตั้งข้อสังเกตว่า ธนาคารกรุงไทย ได้อนุมัติสินเชื่อจำนวน 8,000 ล้านบาท แต่ธนาคารกรุงเทพในฐานะเจ้าหนี้เดิม กับรับชำระหนี้เพียง 4,500 ล้านบาท จึงเป็นที่มาที่ทำให้สินเชื่อในส่วนที่เหลือถูกนำไปกระจายต่อเข้าข่ายการฟอกเงิน ดังนั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องตรวจสอบอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงไทยและอดีตผู้บริหารธนาคารกรุงเทพ ว่าเหตุใดจึงดำเนินการเช่นนั้น
อ่านเพิ่มเติม