พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผู้บัญชาการตำรวจท่องเที่ยว ร่วมกับ พล.ต.ต.ปรีดี พงศ์เศรษฐสันต์ รองผู้บัญชาการสำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ พ.อ.พิรุณ นยโกวิทย์ พร้อมด้วยตำรวจ สภ.เกาะเต่า สภ.เกาะพะงัน ตำรวจท่องเที่ยวจังหวัดสุราษฎร์ธานี ลงพื้นที่บริเวณหาดทรายรี ม.3 ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี โดยมีนายไชยันต์ ธุระสกุล นายกเทศมนตรีตำบลเกาะเต่า นายกอบชัย เสาวลักษณ์ กำนันตำบลเกาะเต่า ร่วมตรวจสอบสถานที่เกิดเหตุตามที่ น.ส.อิสเบลล่า วิคตอเรีย แบคเตอร์ อายุ 19 ปี นักท่องเที่ยวสัญชาติอังกฤษที่อ้างว่ากลางดึกของคืนที่ 26 มิ.ย. ที่ผ่านมา ได้ถูกชายแปลกหน้ามอมยาเเละถูกข่มขืนที่ชายหาดทรายรี
ภายหลังการลงพื้นที่ พล.ต.ต.ปรีดี กล่าวว่า การลงพื้นที่ครั้งแรกเก็บข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับสถานที่เกิดเหตุ รวมถึงว่ามีบุคคลใดเกี่ยวข้องหรือไม่ แต่การปฎิบัติหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้เต็มรูปแบบนั้น ผู้เสียหายกลับมาให้ข้อมูลเพิ่มเติมจึงจะมีความชัดเจนขึ้นทั้งในส่วนของสถานที่เกิดเหตุและในส่วนบุคคลที่เกี่ยวข้อง และที่สำคัญเสื้อผ้าตามที่ข้อมูลข่าวที่นำเสนอมาว่ามีดีเอ็นเอของคนร้ายติดอยู่ ถ้าผู้เสียหายนำวัตถุพยานชิ้นสำคัญนี้กลับมาด้วย จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่องานพิสูจน์หลักฐาน ได้ไขข้อกระจ่างออกมาและเป็นข้อมูลให้กับพนักงานสอบสวน
ด้าน พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตั้งแต่ทราบเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจลงพื้นที่ตรวจสอบทั้งในเรื่องสืบสวนสอบสวน วัตถุพยาน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็นร่องรอยบริเวณที่กล่าวอ้าง จุดที่นักท่องเที่ยวมาดื่มกิน หรือที่พัก รวมถึงการตรวจสอบไล่เรียงเรื่องการรับคดีทั้งหมด และในวันที่ 23 มิ.ย. น.ส.ภัทรา แจ้มตระกูล เจ้าของไฮฟ์โฮสเทล พยานให้การว่า พบเห็นนางสาวอิสเบลล่า อายุ 19 ปี ชาวอังกฤษ ร้องไห้อยู่ที่โรงแรม จึงได้เข้าไปสอบถาม น.ส.อิสเบลล่า บอกว่าเสียใจที่ได้ไปมีความสัมพันธ์ทางเพศกับนายมาติน ซึ่งเป็น1 ใน4 พื่อนชายที่เดินทางมาเที่ยวด้วยกันรวม 5 คน และพักอยู่ห้องเดียวกัน รู้สึกเสียใจเพราะตนเองมีแฟนอยู่แล้ว
"สรุปจากเหตุการณ์ทั้งหมด จากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จากการบันทึกปากคำของพยาน จากร่องรอยสารต่างๆ วันนี้ยังไม่พบเลยว่ามีเหตุการณ์ตามที่ น.ส.อิสเบลล่า แจ้งมาไม่พบว่ามีการข่มขืน การวางยาเกิดขึ้นตามหลักฐานที่มีอยู่" พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าว
พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ทำหลักฐานให้ปรากฎ ถ้าตำรวจไม่รับแจ้งความให้ดำเนินการทางอาญาและวินัย ไม่มีการช่วยกัน แต่ถ้าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่เป็นจริง คนที่ไปพูดไปกล่าวต้องรับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมือง การเอาเรื่องราวไปลงในเพจต่างๆ หากไม่ใช่ความจริง มีความผิดในการนำข้อมูลอันเป็นเท็จ ตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ โทษสุงสุด 5 ปี คนที่ชมแล้วแชร์มีความผิดเช่นเดียวกัน แต่อยากให้ผู้เสียหายเดินทางมาพบพนักงานสอบสวนและเอาหลักฐานมาแจ้งความ และนำหลักฐานใหม่อื่นๆ มาแสดง หากพบว่ากระทำความผิดจริง จะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด