ไม่พบผลการค้นหา
จีนกำลังเตรียมการซ้อมรบที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ (4 ส.ค.) รอบทะเลของไต้หวัน หลังจาก แนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางเยือนเกาะเมื่อวานนี้ (3 ส.ค.) แม้ทางการจีนจะออกมาขู่ว่า สหรัฐฯ จะต้องได้รับ “ผลที่ตามมา” หากเพโลซีเดินทางเยือนไต้หวัน

ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เดินทางออกจากไต้หวันเมื่อช่วงบ่ายวานนี้ หลังจากการเดินทางเยือนเกาะที่จีนอ้างว่าเป็นมณฑลของตนเอง ถึงแม้ว่าไต้หวันจะมีอำนาจการปกครองตนเองเต็มรูปแบบ ทั้งนี้ เพโลซีกำลังอยู่ในระหว่างการเดินทางในทริปเอเชีย เพื่อมุ่งหน้าต่อไปยังเกาหลีใต้และญี่ปุ่น 

อย่างไรก็ดี เพโลซีจะไม่ได้เข้าพบกับ ยุนซอกยอล ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ ที่กำลังพักผ่อนสุดสัปดาห์ ในขณะที่หลายกระแสข่าวรายงานว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้เลี่ยงที่จะพบกับประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เนื่องจากความตึงเครียดดังกล่าว

จีนจะทำการซ้อมรบอัน “จำเป็นและยุติธรรม” รอบเกาะไต้หวัน เพื่อเป็นการตอบโต้การเดินทางเยือนเกาะของเพโลซี ตั้งแต่วันที่ 4-7 ส.ค. ในขณะที่ทางกระทรวงกลาโหมไต้หวันรายงานว่า ตนพบเครื่องบินรบของจีนกว่า 27 ลำ ได้แล่นเข้าสู่เขตป้องกันทางอากาศของไต้หวันแล้ว ในขณะที่เมื่อวันพุธที่ผ่านมา กระทรวงกลาโหมไต้หวันได้ส่งเครื่องบินไอพ่นบินเตือนเครื่องบินรบของจีน

ในเวลาต่อมา กระทรวงกลาโหมไต้หวันได้กล่าวเพิ่มเติมว่า เครื่องบินที่ไม่ปรากฏชื่อซึ่งอาจเป็นโดรน ได้บินผ่านหมู่เกาะจินเหมิน ซึ่งตั้งอยู่ห่างไกลออกไปจากไต้หวัน สำนักข่าวรอยเตอร์สรายงานว่า กระทรวงกลาโหมไต้หวันกล่าวว่า กำลังของตนได้ยิงพลุเพื่อขับไล่เครื่องบินออกไป และคอยจับตาเพื่อการแจ้งเตือนตลอด

การซ้อมรบของจีนในวันนี้เป็นต้นไปจนถึงปลายสัปดาห์ จะถูกจัดขึ้นในน่านน้ำที่โกลาหลที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ซึ่งหมายรวมถึงการที่จีนจะใช้ “การยิงด้วยกระสุนจริงระยะไกล” โดยไต้หวันร้องขอให้เรือต่างๆ หาเส้นทางแล่นอื่น เพื่อหลีกเลี่ยงการฝึกซ้อมรบของจีน และไต้หวันกำลังเจรจากับญี่ปุ่นและฟิลิปปินส์ที่อยู่ใกล้เคียงกัน เพื่อหาเส้นทางการบินทางเลือกอื่นๆ

ไช่อิงเหวิน ประธานาธิบดีไต้หวัน ออกมาระบุว่า ประเทศของตนกำลังเผชิญหน้ากับ “ความจงใจในการเพิ่มการคุกคามทางการทหาร” ในขณะที่หลายประเทศทั่วโลก โดยเฉพาะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของกลุ่มประเทศ G7 อย่าง แคนาดา ฝรั่งเศส เยอรมนี อิตาลี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร และสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ร่วมกล่าวหาว่า จีนได้ยกระดับความเสี่ยงในการทำให้ภูมิภาคตนตกอยู่ในภาวะไร้เสถียรภาพ ก่อนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายหาทางออกผ่านการสร้างบทสนทนา

“ไม่มีเหตุผลที่จะใช้เดินทางเยือน (ของประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ) เป็นข้ออ้างสำหรับกิจกรรมทางทหารเชิงรุกในช่องแคบไต้หวัน มันเป็นเรื่องปกติและเป็นกิจวัตรสำหรับสมาชิกสภานิติบัญญัติจากประเทศของเรา ที่จะเดินทางไปต่างประเทศ” แถลงการณ์ร่วมของกลุ่มประเทศ G7 ระบุ

เพโลซีในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เป็นเจ้าหน้าอาวุโสคนแรกของสหรัฐฯ ในรอบ 25 ปี ที่เดินทางเยือนไต้หวัน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในการเดินทางเยือนประเทศในเอเชียต่างๆ ตั้งแต่สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ และญี่ปุ่นในครั้งนี้ ถึงแม้ว่าทางการจีนจะออกประกาศเตือนไม่ให้เพโลซีเดินทางเยือนไต้หวันก็ตาม

หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจีน ได้ออกแถลงโจมตีว่า สหรัฐฯ ได้ “ละเมิดอธิปไตยของจีนภายใต้หน้ากากของสิ่งที่ถูกเรียกว่าประชาธิปไตย” ก่อนกล่าวเสริมว่า “ผู้ที่เล่นกับไฟย่อมไม่พบกับจบที่ดี และผู้ที่ทำร้ายจีนต้องได้รับการโดนลงโทษ”

ในทางตรงกันข้าม หลังจากที่เพโลซีเดินทางถึงไต้หวัน ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้ออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนไม่สามารถ “ห้ามไม่ให้ผู้นำโลกหรือใครก็ตามเดินทางไปไต้หวัน เพื่อแสดงความเคารพในระบอบประชาธิปไตยอันเฟื่องฟู อีกทั้งการเน้นย้ำถึงความสำเร็จมากมาย และการยืนยันความมุ่งมั่นของเราที่จะร่วมมือกันอย่างต่อเนื่อง”

เพโลซีเดินทางออกจากไต้หวัน เพื่อมุ่งหน้าตรงไปยังเกาหลีใต้ต่อ ก่อนที่เธอจะมีกำหนดการเข้าพบกับทาง คิมจินเพียว ประธานรัฐสภาเกาหลีใต้ เพื่อการหารือในประเด็นความมั่นคงระดับภูมิภาค การร่วมมือกันทางเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ

การเดินทางเยือนไต้หวันของเพโลซี ไม่ได้รับความเห็นด้วยจากทาง โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งไบเดนเองออกมากล่าวว่า กองทัพของสหรัฐฯ มองว่าการเดินทางเยือนไต้หวันของเพโลซี “ไม่ใช่ความคิดที่ดีนัก” เนื่องจากมันอาจสร้างความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่เพิ่มมากขึ้น อย่างไรก็ดี เพโลซีเลือกที่จะเดินทางมุ่งหน้าตรงไปสู่ไต้หวัน และไม่สนความกังวลของประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดยประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ย้ำว่า ตนจำเป็นจะต้องไปแสดงการให้การสนับสนุนของสหรัฐฯ ที่มีต่อไต้หวัน

สหรัฐฯ ยังคงยืนยันในนโยบาย “จีนเดียว” ในการยอมรับว่า มีรัฐบาลของจีนเพียงรัฐบาลเดียวในปักกิ่ง ไม่ใช่รัฐบาลในไต้หวัน อย่างไรก็ดี สหรัฐฯ ยังคงดำเนินความสัมพันธ์อย่างไม่เป็นทางการกับไต้หวัน และคอยส่งความช่วยเหลือ ผ่านการขายอาวุธทางการทหารแก่ไต้หวัน นับตั้งแต่ตนหันไปรับรองการเป็น “จีนเดียว” ของปักกิ่งแทนไต้หวัน


ที่มา:

https://www.bbc.com/news/world-asia-62416363?fbclid=IwAR1BkB9B3pXk-eRl-ybMJ9P4GsLWUNa1T7Cg8KU1_Ms8BDJ2sLanuRXKJHo